ครืดๆ
สายเข้า~ พ่อ
มือหนาหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูพลิกหน้าจอขึ้นมาดู คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปม ก่อนจะใช้นิ้วเลื่อนตัดสาย แล้วเก็บโทรศัพท์กลับเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม
ครืดๆ
สายเข้า~เตชิต
“อะไรนักหนาวะ”
ผมที่กำลังจะเคลื่อนรถออกจากคอนโดของเดนิส ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อถูกขัดจังหวะจากเสียงโทรศัพท์เครื่องเดิม ผมสบถอย่างหัวเสียแต่ก็ยอมกดรับสายนี้ ก่อนจะเคลื่อนรถเลี้ยวออกไปทางถนนใหญ่
“ว่า”
(เมื่อซักครู่ทางฝั่งคุณอเล็กซ์ติดต่อมา บอกว่าต้องการพบท่านประธานพรุ่งนี้ที่ภูเก็ตในงานแต่งของคุณเอวาครับ)
“ว่าไงนะ” ถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดแห่งปี ในที่สุดเจ้าของกระเป๋าแบรนด์ดัง ก็ยอมที่จะให้ผมเจรจาทางธุรกิจกับเขาซักที
แบรนด์นี้ค่อนข้างเล่นตัว ปล่อยสินค้าออกมาปีละไม่เกินสิบใบ โดยไม่ส่งสินค้าให้ดีลเลอร์ แต่ขายและเกร็งราคาเอง ผมอยากจะได้โอกาสนี้เลยติดต่อขอเป็นดีลเลอร์ ในราคาแบรนด์ของคุณอเล็กซ์ ที่มีราคาสูงเสียดฟ้า
(คุณอคินสะดวกเดินทางกี่โมงครับ ทางนั้นคอลเฟริมเข้างานสองทุ่ม)
“ไฟท์เช้า ฉันต้องการเจอตัวเขาก่อนสองทุ่ม รีบบอกเรื่องเดินทางกับตามฝันด้วยนะ ฉันจะเอาเธอไปด้วย ขอรายละเอียดโรงแรมที่คุณอเล็กซ์เข้าพักด้วย”
(ครับท่านประธาน)
ผมยิ้มออกมาอย่างเป็นต่อ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ต้องการเจรจากับคุณอเล็กซ์ ยังมีอีกหลายบริษัทที่ต้องการยื่นข้อเสนอการเป็นดีลเลอร์นี้ให้กับเขา เรื่องธุรกิจ ผมช้าไม่ได้แม้แต่เศษก้าว
(END:TALK)
ก๊อกๆ
“ประตูไม่ได้ล็อกค่า” ฉันตะโกนบอกคนที่กำลังเคาะประตูห้องนอนฉัน โดยที่ไม่ได้ถามว่าใคร เพราะตอนนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดกระเป๋าเดินทาง ฉันกำลังจะได้ออกทำงานนอกสถานที่กับพี่อคินพรุ่งนี้เช้า
“ทำอะไรอยู่ลูก ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก”
“คุณพ่อ” ฉันโผเข้ากอดคุณพ่อที่เดินเข้ามานั่งลงบนปลายเตียงของฉัน
“พรุ่งนี้ตามต้องไปภูเก็ตกับพี่อคินค่ะ พี่เค้าจะต้องไปเจอดีลเลอร์กระเป๋าแบรนด์อะไรซักอย่างนี่ละค่ะ ตามก็ยังไม่มั่นใจ”
“อืม แล้วหนูทำไหวมั้ยลูก ถ้าไม่ไหวรีบบอกพี่เค้านะ อย่าไปทำให้งานพี่เขาเสีย”
“หนูทราบแล้วล่ะค่ะคุณพ่อ หนูว่านะคะ ทำงานช่วยพี่อคินยังง่ายกว่าใส่รองเท้าส้นสูงซะอีก” ฉันทำท่างอแงใส่คุณพ่อ ซึ่งท่านได้แต่ส่ายหน้าให้ฉันน้อยๆ
“วันนี้พ่อเข้าไปคุยกับนายท่านใหญ่มา เรื่องอคิน...”
“มีอะไรรึเปล่าคะ”
“ก็เป็นเรื่องความเจ้าชู้ของพี่เขานั่นแหละ นายใหญ่เองก็ทุกข์ใจ อยากให้อคินมีแฟนซักที”
“โถ่ พ่อคะ สมัยนี้เขาไม่ค่อยซีเรียสเรื่องคู่หรอกค่ะ ยุคนี้ส่วนใหญ่มุ่งสร้างฐานะ ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วยตัวของตัวเอง แล้วยิ่งพี่อคินนะ เป็นถึงประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ภายในเวลาแค่ไม่กี่ปี มันยิ่งปลุกคนไฟแรงในตัวเขามากขึ้น เขาไม่มัวแต่สนใจเรื่องมีครอบครัวหรอกค่ะพ่อ”
“ดูลูกเข้าใจพี่เค้ามากเลยนะ”
ฉันรูดซิบกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก เมื่อบรรจุสิ่งของลงในนั้นครบถ้วนแล้ว จากนั้นก็ลากมันไปไว้อีกทาง
“ก็เพราะตาม ก็เป็นอีกคนที่กำลังมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ตามใฝ่ฝันยังไงล่ะคะ”
ฉันนั่งลงข้างๆ คุณพ่ออีกครั้ง เราสองคนถือว่าเป็นพ่อลูกคู่ซี้คู่หนึ่งเลยก็ว่าได้ ฉันสามารถคุยทุกอย่างกับคุณพ่อได้นั่นแหละ
“ว่าแต่คุณพ่อเถอะค่ะ อย่าลืมที่ตกลงกับตามฝันไว้นะคะ หลังจากช่วยงานพี่อคินรอดปลอดภัย ไม่ถูกไล่กลับบ้าน คุณพ่อต้องอนุญาตให้ตามทำห้องเสื้อของตัวเองนะคะ”
“พ่อไปลืมหรอกน่า ดิล!”
กำปั้นแกร่งของคุณพ่อยื่นมาตรงหน้าฉัน ส่วนฉันก็ยื่นกำปั้นของตัวเองไปแตะกำปั้นของท่าน เป็นการลงสัญญาแก่กัน นี่เป็นสัญลักษณ์ระหว่างฉันกับคุณพ่อ ที่เราทำประจำเวลาที่มีข้อตกลงต่อกัน
เช้าวันต่อมา
“อคินจะรับไข่ดาวหรือขนมปังปิ้งดีลูก”
“ขนมปังซักแผ่นก็พอครับ เช้าๆ ผมไม่ค่อยทานซักเท่าไหร่”
“ไม่ได้เลยนะลูก น้าว่าช่วงนี้อคินดูผอมไปนะ อย่าโหมงานหนักนักสิ”
ฉันเดินหาววอดๆ ลงมาจากชั้นสองของบ้าน พรางยกกระเป๋าเดินทางใบเล็กลงมาด้วย แต่ก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเจ้านายแว่วมาจากชั้นล่าง
พี่อคินยังติดนิสัยชอบมาทานมื้อเช้าที่บ้านฉันเหมือนเดิมสินะ เมื่อก่อนตอนที่ฉันยังไม่ได้ไปเรียนต่อเมืองนอก ก็เห็นพี่อคินมาอยู่บ้านฉันอยู่บ่อยๆ เหมือนที่บ้านเขาไม่มีอาหารเช้าให้กิน ทั้งทั้งที่บ้านเขาเองก็รวยล้นฟ้ามหาสมุทร
“ยัยตาม รีบลงมาทานมื้อเช้าสิลูก พี่เค้ามารอเรานานแล้วนะคะ”
ฉันมองไปที่นาฬิกาบนฝาผนัง มันระบุเวลาหกโมงครึ่ง แต่เราขึ้นเครื่องตั้งเก้าโมง นี่พี่เขาจะรีบมาทำไมกัน
“เหลืออีกตั้งหลายชั่วโมงนี่คะ กว่าจะถึงเก้าโมง” ฉันบ่นกระปอดกระแปด เลื่อนเก้าอีกข้างๆ นั่งลงข้างพี่อคิน ซึ่งพี่เขาเลื่อนถ้วยข้าวต้มทะเลของโปรดฉันมาให้ แถมยังใส่เครื่องเคียงมาให้อย่างรู้ใจ
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ได้อ่านไลน์ที่พี่ส่งให้ใช่มั้ย”
“ไลน์อะไรคะ” ช้อนข้าวต้มกำลังจะตักเข้าปากถูกวางลงไว้ที่เดิม โทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายข้างถูกหยิบขึ้นมาดูทันที
“กี๊ด!!เลื่อนไฟท์เป็นแปดโมงครึ่ง”
“อืม!”
“โอ๊ย น้องขอโทษ” ฉันยกมือขึ้นไหว้ของโทษพี่อคิน ก่อนจะรีบตักข้าวต้มในถ้วยเข้าปาก อย่างรู้สึกผิด บ้านฉันอยู่ห่างจากสนามบินพอสมควร ซึ่งกว่าจะถึง กว่าจะเข้าเช็คอินต้องใช้เวลาพอสมควร
“เป่าก่อนดีมั้ย” เขาเลื่อนแก้วน้ำ (ของเขา) ให้มาฉันเมื่อเห็นว่าข้าวต้มร้อนๆ มันกำลังลวกปากฉัน
“ขอบคุณค่ะ”
“ยัยตาม ทำไมไม่เดินไปเอาน้ำแก้วใหม่ล่ะลูก ไปเอาของพี่เขามากินทำไม เอ ลูกคนนี้”
“โอ๊ย คุณแม่ พี่อคินให้หนูเองต่างหาก” สีข้างของฉันถูกเล็บแห่งประกาศิตหยิบลงเนื้อจนต้องหดตัวลง โอ้ย นี่แม่หรือคุณครูเพ็ญศรี ครูสอนคณิตศาสตร์เมื่อตอนม.4คะ
“ไม่โตซักที แม่ชักจะกลุ่มใจแล้วล่ะสิที่ให้ไปช่วยงานอคิน”
“ไม่ต้องห่วงครับหน้าดาว แค่เดินตามผมเฉยๆ คงไม่ทำหุ้นบริษัทผมตกหรอกครับ”
“พี่อคิน!! อย่าว่าบาปน้องสิคะ เมื่อวานน้องก็ทำออกมาได้ดีนะ”
“โดยเฉพาะข้าวมันไก่พิเศษหนัง สามจาน”
“พี่อคิน!! ไหนรับปากน้องแล้วว่าจะไม่เอามาล้อ”
“ฮ่า....”
“ยังไงน้าก็ฝากน้องด้วยนะคิน รายนี้ไปไหนน้าก็ห่วงมากว่าเฌอปราง”
“ครับคุณน้า”
บทสนทนาจบลงตอนที่ฉันกินข้าวต้มเสร็จ เราสองคนออกเดินทางทันที ซึ่งก็ไม่ได้ตกเครื่องแต่อย่างใด ถือว่าฉันยังคงมีความโชคดีกับเขาอยู่บ้าง