เสี่ยวจิ่วสลัดเรื่องความฝันเมื่อครู่ของเธอ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปทำภารกิจที่ได้รับมาเมื่อวานนี้จากองค์กร
คนที่เธอต้องไปจัดการลงมือปลิดชีพในครั้งนี้ เป็นถึงนายตำรวจใหญ่ ที่เข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องคดีความของนักการเมือง เธอรู้ข้อมูลมาว่าเขาเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่เพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่ง แต่มีความสามารถไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
“น่าเสียดาย” เธอโยนเอกสารประวัติในมือทิ้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปจัดเตรียมเครื่องมือที่ใช้ปลิดชีพเขาในครั้งนี้
ความเห็นใจมีเพียงให้หน่อยนิดเท่านั้นสำหรับเธอ คนที่เสี่ยวจิ่วฆ่ามาไม่น้อยกว่าร้อยชีวิตแล้ว เธอจะมาเห็นใจเขามากมายได้อย่างไร สายตาของเสี่ยวจิ่วมีแต่ความเฉยชาเช่นเดียวกับหัวใจของเธอที่มองคนอื่นเป็นเพียงมดปลวก
ตั้งแต่ที่จำความได้ เธอก็ถูกฝึกมาอย่างหนัก ความรู้สึกที่ได้เล่นสนุกเช่นเด็กในวัยเดียวกัน เธอลืมไปนานแล้ว
งานเล็กที่เธอได้รับให้ฆ่าคน ตั้งแต่เมื่อสิบขวบเห็นจะได้ เธอยังจำความรู้สึกจับมีดสั้นพุ่งเข้าไปฆ่าคนได้ดี หากเธอไม่ฆ่าเขา ก็ต้องเป็นเธอที่ตายในวันนั้น
ทางองค์กรปล่อยให้เด็กที่ถูกฝึกมาด้วยกันสังหารกันอย่างเลือดเย็น แล้วเหลือผู้รอดชีวิตไว้เพียงห้าคนเท่านั้นจากสามสิบกว่าคน เพื่อต้องการคัดเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดไว้ใช้งาน
หลังจากการทดสอบจบสิ้นลง เสี่ยวจิ่วต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บนานถึงสามเดือน หมอขององค์กรที่รักษาเธอ ในตอนแรกเขายังไม่เชื่อว่าเธอจะรอดมาได้ แต่อาจจะเป็นเพราะใจที่ไม่ยอมแพ้ในโชคชะตา ทำให้เธออยู่รอดมาจนทุกวันนี้ เพื่อเป็นเครื่องมือให้องค์กรใช้งาน
ไม่ใช่ว่าเธออยากจะเป็นนักฆ่า แต่เพราะไม่มีหนทางให้ถอยหนีต่างหาก ภายในร่างกายเธอถูกฝังชิปติดตาม และระเบิดเวลาที่ติดตั้งจากองค์กรอีกด้วย
เรื่องนี้เธอรู้ตอนอายุได้สิบสอง เมื่อหนึ่งในเด็กฝึกต้องการที่จะหนีออกจากองค์กร เพื่อไปแจ้งความให้เขามาช่วยเหลือคนที่เหลือด้านใน เธอเห็นเพื่อนของเธอถูกองค์กรพากลับตัวมา ก่อนจะซ้อมเสียเกือบตาย
แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคงเป็นตอนที่องค์กรกดปุ่มชิปที่ฝังอยู่ในร่างกายให้ทำงาน แรงระเบิดด้านในที่ถูกฝังไว้ ทำให้ร่างกายของเพื่อนเธอแหลกเหลวจนไม่เหลือสิ่งใดเป็นชิ้น
“ผู้ที่ทรยศต่อองค์กร นี่คือสิ่งที่ผู้ถูกเลือกต้องพบเจอ” เสี่ยวจิ่วมองกองเลือดด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า ก่อนจะเดินตามกลุ่มคนกลับเข้าไปฝึกเช่นเดิม
เสี่ยวจิ่วแบกกระเป๋าใบโตที่ด้านในมีปืนพกขนาดต่างๆ ทั้งยังมีดสั้นที่เก็บไว้ที่สายรัดที่ขาอ่อน ข้อเท้า หรือแม้แต่ในร่มผ้าก็ยังมีอาวุธลับ เพื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินมากมาย
“ฉันไม่ต้องไปด้วยใช่ไหม” เสี่ยวซานกัดผลไม้ในมือ แล้วมองเพื่อนสาวของเธออย่างกังวล
เธอไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยเตือนเสี่ยวจิ่วหรือไม่ เพราะเมื่อเธอฝันไม่ค่อยจะดีนัก แต่ก็พอจะรู้นิสัยของเพื่อนสาวที่ไม่ค่อยจะเชื่อในเรื่องพวกนี้เท่าไหร่
“เตรียมมื้อใหญ่รอฉันก็พอ” เสี่ยวจิ่วยกยิ้มที่มุมปากเช่นทุกที ก่อนจะโบกมือแล้วเดินหายออกไปจากห้องพัก
“เธอต้องกลับมากินอาหารฝีมือฉันด้วยนะ” เสี่ยวซานวิ่งตามออกมาร้องตะโกนบอก แต่เธอก็ได้ตอบรับเป็นเพียงรอยยิ้มบางๆ เช่นทุกทีกลับมา
ค่าตอบแทนสำหรับงานที่เสี่ยวจิ่วทำ ในแต่ละครั้งไม่น้อยเลย เธอสามารถซื้อบ้านหลังใหญ่ใจกลางกรุงปักกิ่งได้ แต่เธอก็ไม่ทำ เงินที่ได้มาทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นทองแท่งแล้วเก็บไว้ภายในตู้เซฟที่ห้องพักของเธอ
ถึงจะมีวันหยุดให้ได้ไปเที่ยวเล่นบ้าง แต่เสี่ยวจิ่วก็ไม่ค่อยได้เดินทางไปเที่ยวเล่นเช่นเพื่อนคนอื่น เธอเก็บตัวอยู่แต่ในห้องพักที่ทางองค์กรจัดเตรียมไว้ให้
ด้านในมีทุกสิ่งโดยที่เธอไม่ต้องไปแสวงหาจากด้านนอก ไม่ว่าจะเป็นห้องออกกำลังกาย ห้องครัวที่ครบครัน หรือแม้แต่ห้องหนังสือ เธอเลือกให้ทางองค์กรทำห้องหนังสือ มากกว่าที่จะเลือกห้องคาราโอเกะเช่นเสี่ยวซานเพื่อนของเธอ
ถึงแม้ในตอนนี้จะมีคอมพิวเตอร์ที่สามารถค้นหาข้อมูลที่เธออยากรู้ได้มากมายแล้ว แต่เสี่ยวจิ่วก็ยังคิดว่าการอ่านหนังสือ ช่วยให้ใจของเธอสงบมากกว่าอยู่ดี
ยิ่งห้องคลังอาวุธของเธอยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากจะบอกว่าขาดสิ่งใดก็คงเป็นเพียงรถถังเท่านั้น ที่ไม่มีอยู่ด้านใน
เสี่ยวจิ่วขับรถหรูคันงามของเธอไปที่ตึกสรรพสินค้าฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมใจกลางกรุงปักกิ่ง ที่วันนี้จะมีการจัดงานแถลงข่าวเรื่องของนักการเมืองที่พัวพันกับเครือข่ายมาเฟียกลุ่มใหญ่ของประเทศ
เธอมาถึงก่อนเวลาจึงพอที่จะจัดเตรียมการสถานที่และสำรวจตำแหน่งที่เป้าหมายของเธอยืนแถลงข่าว
เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงต่อมา เป้าหมายของเธอก็มาถึงหน้าโรงแรม จากมุมที่เธออยู่สามารถเห็นการเคลื่อนไหวต่างๆ ของเขาได้อย่างชัดเจน
เสี่ยวจิ่วยกปืนคู่ใจขึ้นประทับบ่า ก่อนจะเล็งไปที่เป้าหมาย เพื่อติดตามเขาไม่ให้คาดสายตา เธอรอจังหวะอย่างใจเย็น นิ้วมือของเธอแตะที่ไกปืนอย่างแผ่วเบา
จากกล้องที่ติดอยู่ที่กระบอกปืนทำให้เห็นใบหน้าของตำรวจหนุ่มอย่างชัดเจน
“จุ๊ๆ น่าเสียดาย” เธอพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา เมื่อใบหน้าของตำรวจหนุ่มรูปงามไม่ใช่น้อย เสียดายที่เข้ามาวุ่นวายกับคดีนี้
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าถูกเพ่งเล็งจึงได้หันมามองทางที่เสี่ยวจิ่วเธอซ่อนตัวอยู่ สายตาของเขาทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย คิดว่าถูกพบตัวเข้าเสียแล้ว
นิ้วมือที่วางอยู่ที่ไกปืน ถูกเหนี่ยวออกไปโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ ฟิ้ว!!!พลาด...ไปเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น
แต่สำหรับเสี่ยวจิ่วแล้ว ครั้งนี้เรียกได้ว่า ฉิบหาย ได้เลย เธอรีบเล็งเป้าหมายอีกครั้ง ก่อนจะลั่นไกติดๆ กันสามนัด แต่เพราะเป้าหมายรู้ตัวเสียแล้ว จึงไม่ได้ง่ายเช่นนั้น
เมื่อกลุ่มคนเริ่มจะพุ่งเป้ามาทางเธอ ทำให้เสี่ยวจิ่วไม่มีเวลาจัดการเป้าหมายได้ต่อ เธอเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งหลบกระสุนที่สาดมาทางเธอไปด้วย
“อึก!!!” เสี่ยวจิ่วโดนกระสุนปืนเข้าที่แขนของเธอ แต่ไม่มีเวลาให้ตรวจสอบ เธอต้องหลบหนีออกไปจากที่แห่งนี้เสียก่อน
แต่หากทำภารกิจไม่สำเร็จสิ่งที่รอเธออยู่ที่องค์กรคงมีเพียงความตายเช่นกัน เธอยังไม่อาจจะกลับองค์กรได้ในตอนนี้ ทั้งยังไม่สามารถลงไปเอารถที่จอดไว้ในตึกได้อีกด้วย
เสี่ยวจิ่วใช้ผ้าพันที่แขนเพื่อห้ามเลือดอย่างลวกๆ ก่อนจะหาที่ซ่อนตัวภายในตึก เสียงฝีเท้าของจำนวนคนไม่น้อยกำลังค้นหาตัวเธอ
เธอได้แต่กัดฟันแน่น เพื่อไม่ให้เสียงลมหายใจเล็ดลอดออกไปจนเรียกกลุ่มคนมาทางเธอ
“หึ คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ เสี่ยวจิ่ว นักฆ่าหมายเลขเก้า” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นไม่ไกลจากตัวเธอ
เสี่ยวจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าคนผู้นี้รู้ตัวตนของเธอได้อย่างไร ทั้งยังเรียกชื่อ ตำแหน่งหมายเลขของเธอได้อย่างแม่นยำ
การทำงานในครั้งนี้ มีเพียงคนในองค์กรของเธอเท่านั้นที่รู้เรื่อง หากไม่มีสายข่าวในองค์กรคอยแจ้งเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะหลุดออกมาได้อย่างแน่นอน
“ผมเพียงทำตามหน้าที่ คุณคิดจะเอาชีวิตกันเลยเหรอ” ครั้งนี้เสี่ยวจิ่วรู้ได้ทันทีว่าเป็นนายตำรวจหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ว่าทำไม เขาถึงได้หาตัวเธอได้ง่ายแท้ ระหว่างที่เธอคิดจะหาทางหนีออกไปจากตรงนี้ ตำรวจหนุ่มก็เดินมาหยุดที่หน้าตัวเธอแล้ว
เสี่ยวจิ่วหยิบมีดสั้นที่ข้อเท้าของเธอออกมาปาไปทางเขาโดยไม่ต้องหยุดคิด อาวุธลับที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายของเธอถูกนำออกมาใช้อย่างรวดเร็ว
“ไม่เสียทีที่เป็นถึงนักฆ่าระดับเพชร” ตำรวจหนุ่มดึงมีดสั้นออกจากหัวไหล่ของเขาข้าๆ แล้วถือเล่นไว้ในมืออย่างใจเย็น