“ปั้นชาจะพยายามใช้บริการพี่วินให้น้อยที่สุดค่ะ และครั้งนี้ปั้นชาก็ปลอดภัยดีจริงๆ ค่ะคุณป้า”
ปภาวรินทร์ส่งยิ้มเจื่อนให้คุณหญิงอตินุชด้วยสีหน้าสำนึกผิด ปวันมองท่าทางของภรรยาสลับมองปภาวรินทร์ก็ยิ้มเอ็นดู
“เอาเถอะน่าคุณ หนูปั้นชาคงรีบจริงๆ ใช่ไหมล่ะ”
“ใช่เลยค่ะคุณลุง”
“เอางี้ก็แล้วกัน คราวหลังหนูโทร.มาบอกป้าว่าจะมาถึงช้า ป้าจะได้เลื่อนเวลาตั้งโต๊ะอาหาร”
“ว้าว สะใภ้คนโปรดจริงๆ ด้วยแฮะ”
ปารวีย์ขึงตาดุมองปุลวัชร แต่เจ้าตัวไม่ได้มีท่าทางสลดแม้แต่น้อย ซ้ำยังยิ้มให้จนปารวีย์ต้องถอนหายใจด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ส่วนปภาวรินทร์กำลังยิ้มอย่างขวยเขินกับคำแซวของปุลวัชร แต่พอเงยหน้าไปเจอสายตาดุๆ ของปารวีย์ก็ต้องรีบหุบยิ้มฉับ รีบปรับสีหน้าเป็นปกติที่ดูไม่ค่อยจะปกติสักเท่าไร
“กินข้าวกันดีกว่าค่ะ ปั้นชาฮิ้วหิว”
มื้อค่ำของครอบครัวตนุนันท์สงวนรัชต์ผ่านไปอย่างเรียบง่าย คนที่มีความสุขกับอาหารมื้อนี้มากที่สุดเห็นจะเป็นปภาวรินทร์ เพราะนอกจากอาหารจะอร่อยถูกปากมากแล้ว ยังได้เห็นใบหน้าหล่อๆ ของพี่หมอบูมถึงแม้ว่าจะมองตรงๆ ไม่ได้ก็เถอะ เพราะทุกครั้งที่เธอมองเขาก็เหมือนจะรู้ตัวไปเสียทุกครั้ง และตอนนี้พี่หมอบูมก็ขึ้นห้องนอนไปแล้ว เหลือเพียงปุลวัชรที่กำลังเดินมาส่งเธอซึ่งรั้วบ้านของเธอติดกับรั้วบ้านตนุนันท์สงวนรัชต์
“นี่ คุณหนูดาราฉันลืมบอกเธอไปเลยว่าฉันเอาข่าวที่เธอไปร้านเฮียโต๋กับพระเอกของเธอให้พี่บูมดูด้วย ตกลงเธอจะไม่เป็นพี่สะใภ้ฉันแล้วดิ” ปุลวัชรเลิกคิ้วถาม
“ฉันไม่เลิก ตำแหน่งนั้นต้องเป็นของฉัน แล้วอีกอย่างแค่แวะไปกินข้าวต้มหลังเลิกกองเฉยๆ ผู้จัดการของฉันผู้จัดการของคุณพีชก็ไป ไม่มีอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ”
“งั้นก็โอเค” ปุลวัชรพยักหน้า “แต่ว่าก็ว่าเถอะ จะเป็นสิบปีแล้วนะ ความสัมพันธ์ของเธอกับพี่ชายของฉันไม่เห็นจะขยับไปไหนซะที”
“ฉันก็พยายามอยู่นี่ไง”
ปภาวรินทร์ถอนหายใจ ใช่ว่าเธอไม่อยากขยับความสัมพันธ์ให้มากกว่านี้เสียเมื่อไรกัน แต่คนที่ไม่ให้ความร่วมมือเลยคือพี่หมอบูมต่างหาก เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบ ทำราวกับว่าเธอเป็นตัวเชื้อโรค ตัวเชื้อโรคอะไรกันจะหน้าตาดีขนาดนี้ เฮอะ
“ความพยายามของเธอมีแค่หาเวลามากินข้าวด้วยทุกสัปดาห์แค่นั้น”
“แต่ฉันก็ส่งข้อความบอกฝันดีพี่หมอทุกวันนะ แต่พี่หมอไม่เคยตอบเลยอะ” พูดไปแล้วปภาวรินทร์หน้าม่อยลง
“แช็ตหนักขวาสุดเลยดิถ้างั้น”
“ก็อื้อ อีกอย่างฉันเลิกกองก็ดึกแล้ว พี่หมอเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม ฉันส่งข้อความหาเขาหลังเที่ยงคืนก็ถือว่าใจเด็ดมากแล้วนะ นายคิดว่าฉันไม่อยากคุยกับพี่หมอรึไงกันเล่า”
“เธอควรพยายามให้มากกว่านี้”
“นายจะให้ฉันทำไงเล่า ให้ไปไล่ปล้ำพี่ชายนายเลยไหม จะได้จบๆ”
“แน่จริงก็ทำอย่างที่พูดให้ได้สิ คุณแม่ของฉันจะได้สมใจที่มีเธอเป็นลูกสะใภ้”
“นายจะบ้าหรือไงไอ้หมอเถื่อน” ปภาวรินทร์ร้องโวยวายพลางทุบต้นแขนของปุลวัชรไปทีหนึ่ง “ฉันแค่พูดประชด”
“ใครจะไปรู้ ฉันคิดว่าเธอจะทำจริง ก็แค่สนับสนุน”
“ดันหลังฉันแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นนายน่ะ นายอยากให้พี่หมอเกลียดฉันหรือไง”
“ไปให้สุดแล้วหยุดที่อกหัก”
“ตกลงนายหวังดีกับฉันหรือหวังร้ายกันแน่”
ปุลวัชรไม่ได้ตอบ เขาทำเพียงหัวเราะเบาๆ และบอกในเรื่องที่ปภาวรินทร์จำเป็นต้องรู้ “มีอีกเรื่องที่ฉันต้องบอกให้เธอรู้เอาไว้”
“อะไร”
“ตอนนี้มีกุมารแพทย์ย้ายมาใหม่และเธอก็เป็นเพื่อนเก่าที่เคยสนิทสนมกับพี่บูมด้วย เกือบจะได้เป็นแฟนกันด้วยนะ แต่ตอนนั้นหมอฉัตรรดาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศซะก่อน กลับมาครั้งนี้เธอคิดว่าถ่านไฟเก่าจะปะทุขึ้นมาได้ไหมล่ะ”
“นาย นายไม่ได้ขู่ฉันใช่หรือเปล่า” ปภาวรินทร์ถามอย่างกังวลใจ
“ทำไมฉันต้องขู่เธอด้วย ไม่เชื่อเธอก็ตามไปดูที่โรงพยาบาลได้ อาทิตย์ที่ผ่านมาพี่บูมกับหมอฉัตรรดาไปกินข้าวกลางวันด้วยกันทุกวัน ถ้าเธอยังไม่ทำอะไรให้มากกว่านี้ รับรองเลยว่าตำแหน่งสะใภ้คนโปรดของคุณแม่ต้องสั่นคลอนแน่”
ปภาวรินทร์คิดไม่ตก เธอไม่รู้ว่าหากจะเริ่มจีบพี่หมอบูมอย่างจริงจังต้องเริ่มต้นด้วยวิธีไหน ทุกวันนี้เธอเข้าใกล้เขาได้ไม่เคยถึงสองเมตรเลยด้วยซ้ำ เรื่องแตะตัวกันงั้นหรืออย่าได้หวัง อุตส่าห์ปลอมตัวไปเป็นคนไข้ก็ดันถูกอีกฝ่ายจับได้อีก
“เฮ้อ”
ปภาวรินทร์ทิ้งตัวลงบนที่นอนด้วยสีหน้าสิ้นหวัง หญิงสาวนอนคว่ำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา บนหน้าจอบอกเวลาราวสองทุ่มเศษ เวลานี้พี่หมอบูมน่าจะยังไม่ทันได้เข้านอน หากเธอส่งข้อความไปหาตอนนี้เขาจะตอบเธอไหมนะ
“กล้าหน่อยปั้นชา”
ปภาวรินทร์เรียกความกล้าหาญที่ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไรหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่หมอบูมให้ตัวเอง จะกดโทร.หาอีกฝ่ายก็ลังเล สุดท้ายก็เลือกส่งข้อความแทนเพราะการพิมพ์มันทำให้เธอประหม่าน้อยกว่าการได้ยินเสียงของเขา
“พี่หมอนอนหรือยังคะ”
ปภาวรินทร์อ่านข้อความระหว่างที่กดพิมพ์ก่อนจะส่งไป หญิงสาวรออยู่เกือบนาทีกว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมา แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง เพราะส่วนใหญ่ข้อความที่เธอส่งไปจะหนักขวา แอบแปลกใจอยู่เหมือนกันที่คราวนี้พี่หมอบูมยอมตอบข้อความของเธอ
“ยัง มีอะไร”
ปภาวรินทร์ไม่รู้ว่าความร้อนที่กำลังพวยพุ่งขึ้นมาที่ใบหน้ามาจากไหน เพียงเขาตอบเธอไม่กี่คำเธอก็แทบไม่เป็นตัวของตัวเอง หญิงสาวกลั้นหายใจตอบที่กดส่งข้อความไป
“จะสิบปีแล้วนะคะ”
“สิบปี?”
“สิบปีที่ปั้นชาทักพี่หมอทุกคืน”
“แล้ว?”
เฮอะ คนอะไรเย็นชาชะมัด ปภาวรินทร์อดค่อนขอดไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่คิดจะถอดใจ แอบกลั้นหายใจนิดหน่อยตอนที่กดส่งข้อความไป
“พี่หมอ ใจอ่อนบ้างหรือยังคะ”
“เรื่อง?”
โอ๊ย ไม่รู้ว่าพี่หมอบูมจะประหยัดคำไปถึงไหนคิดว่าทำแบบนี้แล้วเธอจะถอดใจงั้นหรือ เมินเสียเถอะ
“ก็ปั้นชาจีบพี่หมออยู่ จีบมาจะเป็นสิบปีแล้ว”
ปภาวรินทร์หน้าแดงซ่านตอนที่ส่งข้อความไปและรอคอยคำตอบจากอีกฝั่งด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวยิ่งกว่าจังหวะการรัวกลอง
“เหรอ?”
เอ๊ะ! ปภาวรินทร์ขมวดคิ้ว นี่พี่หมอบูมไม่รู้จริงๆ งั้นเหรอว่าเธอกำลังจีบเขาอยู่หรือว่าเจ้าตัวแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่
“พี่หมอ ปั้นชาจริงจังอยู่นะคะ”
“แล้วไง?”
ปภาวรินทร์มัวแต่คิดคำโต้แย้งไปมาจนลืมไปว่าครั้งนี้พี่หมอบูมมีปฏิกิริยาโต้ตอบเธอมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“พี่หมออะ”
“อะไรของเธอ”
“พี่หมอแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าปั้นชาจีบพี่หมออยู่ใช่ไหมคะ”
ปภาวรินทร์พิมพ์โต้ตอบด้วยอารมณ์กรุ่น พี่หมอบูมจงใจป่วนประสาทกันชัดๆ
“แล้วไง?”
เธออยากซื้อคำว่า “แล้วไง” ของเขามาโยนทิ้งให้มันจบๆ ไปจริงๆ
“ก็ปั้นชาอยากเป็นคนรักของพี่หมอ อยากเป็นภรรยาของพี่หมอไงคะ”
อารมณ์กรุ่นที่อีกฝ่ายเฉไฉทำปภาวรินทร์ขาดสติ พอเห็นข้อความที่ตัวเองเพิ่งจะส่งออกไปก็ตกใจจนตาโต รีบกดยกเลิกข้อความ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้ว
“ถ้าอยากเป็นภรรยาของผมก็เป็นคนปกติให้ได้ก่อน ไม่มีคนปกติที่ไหนจะปลอมตัวไปเป็นคนไข้ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ป่วยจริงๆ หรอกคุณปภาวรินทร์ แล้วก็ไม่ต้องพิมพ์อะไรตอบกลับมาอีก จะนอนแล้ว”
ปภาวรินทร์ตาโตอ้าปากค้าง แพขนตางอนกะพริบถี่ เธอ เธอเป็นคนไม่ปกติอย่างที่พี่หมอบูมว่าจริงๆ อย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอก็ต้องไปพบจิตแพทย์อย่างจริงจังแล้วหรือเปล่า แต่คงต้องเป็นจิตแพทย์คนอื่นที่ไม่ใช่นายแพทย์ปารวีย์ ตนุนันท์สงวนรัชต์
แต่ก็แอบดีใจไม่ได้ อย่างน้อยพี่หมอบูมก็พิมพ์ตอบเธอด้วยประโยคแสนยาวเหยียดมากกว่าที่เคยเป็น เธอคงไม่ใช่คนประเภทที่ถูกทำร้ายจิตใจแล้วมีความสุขหรอก
ใช่ไหม