“คือว่าฉัน ฉันเอาตัวเองออกจากบทน้องสาวข้างบ้านที่แอบรักพี่ชายข้างบ้านไม่ได้เลยค่ะ จนบางทีฉันคิดว่าฉันอาจจะตกหลุมรักเขาจริงๆ รู้สึกเหมือนหัวใจของฉันอยู่ที่เขาตลอดเวลา”
ปารวีย์ยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูงตอนที่ปภาวรินทร์บอกแบบนั้น ทว่าชั่วพริบตาสีหน้าของจิตแพทย์หนุ่มก็กลับมาราบเรียบตามเดิม
“ตอนนี้คุณคิดถึงเขาหรือเปล่า”
“คิดถึงสิคะ คิดถึงมากด้วย”
ปภาวรินทร์ตอบออกไปตามความจริง เธอไม่เจอพี่หมอบูมมาเป็นสัปดาห์แล้ว ทนคิดถึงอีกฝ่ายไม่ไหวถึงได้ยอมทำเรื่องที่อาจจะถูกอีกฝ่ายตำหนิได้แบบนี้ ส่วนเรื่องบทน้องสาวพี่ชายอะไรนั่นไม่มีอยู่จริง แต่เธอยกเอาเรื่องจริงระหว่างเธอกับพี่หมอบูมมากล่าวอ้างเท่านั้น
“คุณคงใช้เวลากับบทนั้นนานไปหน่อยจนคิดว่าคุณเป็นคนๆ นั้น เบื้องต้นผมแนะนำให้คุณออกไปใช้ชีวิตของคุณอย่างที่เคยเป็น อย่างเช่น ใช้เวลาอยู่กับเพื่อน อยู่กับครอบครัวหรือออกไปเที่ยว และใช้เวลานั้นเพื่อทบทวนความรู้สึกของตัวคุณเอง แต่ถ้าคุณลองทำตามที่ผมบอกแล้วยังคิดถึงอีกฝ่ายมากอยู่ บางที คุณอาจจะชอบเขาจริงๆ ก็ได้ เพราะผมเองก็เคยได้ยินมาว่ามีนักแสดงหลายคนที่ตกหลุมรักกันในกองละคร”
“ไม่ใช่ฉันอย่างแน่นอนค่ะ” ปภาวรินทร์ตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“ดูคุณมั่นใจมากเลยนะครับ”
“ค่ะ” ปภาวรินทร์พยักหน้า” ต่อให้จะมีคนตกหลุมรักกันในกองละคร แต่คนๆ นั้นไม่มีทางเป็นฉันอย่างแน่นอนค่ะ”
สำหรับปภาวรินทร์ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นกับเธอเด็ดขาด เหตุผลเดียวก็คือเพราะคนที่เธอตกหลุมรักอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ไม่ใช่คนที่อยู่ในกองละคร
“แต่คุณเพิ่งจะบอกผมว่าอาจจะตกหลุมรักเขาที่สวมบทเป็นพี่ชายข้างบ้านของคุณนี่ครับ” ปารวีย์เลิกคิ้วถามอย่างกังขา
“เป็น เป็นเพราะฉันอยู่กับบทนั้นนานไปหน่อยไงคะ ฉันถึงต้องมาพบคุณหมอแบบนี้”
แม้จะสวมแว่นกันแดดบดบังสายตา แต่ปภาวรินทร์ก็หลุบตาลงต่ำตอนที่ตอบออกไปแบบนั้นเพราะหวั่นใจว่าพี่หมอบูมจะจับพิรุธเธอได้
“แน่ใจใช่ไหมครับว่าคุณไม่ได้ตกหลุมรักอีกฝ่ายไปแล้ว”
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงคะในเมื่อฉันมีคนที่ฉันแอบรักอยู่แล้ว”
เผลอหลุดปากออกไปเสียงดัง พอรู้ตัวก็ยกมือขึ้นปิดปากทั้งๆ ที่สวมหน้ากากอนามัยอยู่ ดวงตากลมสวยภายใต้แว่นกันแดดฉายแววเลิ่กลั่ก และท่าทางแบบนั้นของเธอก็ยิ่งทำให้ปารวีย์หรี่ตามองเธออย่างคลางแคลงใจยิ่งกว่าตอนแรก
หัวใจของปภาวรินทร์เต้นระส่ำเพราะจู่ๆ คนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามก็ลุกขึ้นเต็มความสูง พี่หมอบูมเดินอ้อมโต๊ะวางของทรงสี่เหลี่ยมตรงมาหาเธอที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกฝั่ง มือข้างหนึ่งของเขายึดพนักโซฟาเอาไว้ ส่วนอีกข้างทาบลงบนตัวโซฟากักเธอเอาไว้ในกรงแขน
“หมอ หมอจะทำอะไรคะ”
“เรารู้จักกันใช่ไหม และน่าจะรู้จักกันดีด้วย”
“ไม่ ไม่ใช่นะคะ ฉัน ฉันจะไปรู้จักหมอได้ยังไงกัน”
ยิ่งปฏิเสธความเป็นตัวตนของปภาวรินทร์ก็ยิ่งเปิดเผย ท่าทางที่เคยปั้นหน้าอย่างสุภาพของปารวีย์ค่อยๆ หายไป ใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึง เขาถอดหมวกปีกกว้างของเธอออก ตามด้วยแว่นกันแดดและหน้ากากอนามัย พอเห็นว่าเป็นคนที่ตัวเองคิดก็บดกรามแน่นจนเส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ
“ปั้นชา”
“แฮ่ ปั้นชาเองค่ะพี่หมอ”
“อย่าทำแบบนี้อีก”
ปภาวรินทร์หน้าม่อยตอนที่ถูกปารวีย์จับเธอยัดใส่รถของเธอ ดวงตาคู่คมวาวโรจน์ฉายแววดุดันไม่พอใจ เอ่ยกำชับน้ำเสียงเข้มงวด
“นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอจะมาเที่ยวเล่นทำอะไรตามอำเภอใจ กลับไปซะ”
“ขอโทษค่ะ”
ปภาวรินทร์เอ่ยเสียงเบา สบตากับคนที่ยืนค้ำประตูรถวูบหนึ่งก็หลุบสายตาลงต่ำ ปารวีย์ไม่ได้นึกเห็นใจคนที่ทำเหมือนหน้าหดเหลือแค่สองนิ้ว ครั้งนี้ปภาวรินทร์ทำเกินไปแล้ว ถึงกับแกล้งปลอมตัวมาเป็นคนไข้ของเขาแบบนั้นใช้ได้ที่ไหน
“ขอโทษแล้วยังไงต่อ”
“จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วค่ะ”
“แต่จะทำแบบอื่นแทน”
ปภาวรินทร์เงยหน้าขึ้นมองคนที่รู้ทันเธอไปเสียทุกเรื่อง แต่เพราะสายตาที่มองกันอย่างตำหนิทำให้ปภาวรินทร์ไม่กล้าสู้สายตา
“ก็พี่หมอไม่กลับบ้านเลยนี่คะ”
“พี่ไม่กลับบ้านแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ”
คำพูดที่ตรงไปตรงมาของปารวีย์กระแทกใจคนฟังอย่างปภาวรินทร์จนจุกอก หญิงสาวหาเสียงตัวเองไม่เจอไปชั่วขณะ ความรู้สึกหน่วงในอกเกิดขึ้นฉับพลันอย่างห้ามไม่อยู่
“ขอโทษค่ะ”
ปภาวรินทร์นึกคำพูดอะไรไม่ออกนอกจาคำว่าขอโทษ แต่อย่าคิดว่าเธอจะยอมถอดใจง่ายๆ คำพูดของพี่หมอบูมสะเทือนใจเธอก็จริง แต่ไม่ได้ทำให้เธออยากตัดใจจากเขา ไม่เลยสักนิด
“ขับรถกลับดีๆ ล่ะ”
เห็นสีหน้าคล้ายสำนึกผิดปารวีย์ก็เสียงอ่อนลง เขาดันประตูรถปิดให้ปภาวรินทร์ และรอจนกระทั่งหญิงสาวขับรถออกไปจนลับสายตาพร้อมกับส่ายหน้าอย่างระอาใจไล่หลัง
“ถามจริง”
“นายคิดว่าพี่ล้อเล่นหรือไง”
ปุลวัชรมองหน้าพี่ชายแล้วอดกลั้นขำไม่ได้ ช่วงพักกลางวันเขาเดินผ่านแผนกจิตเวชเลยแวะมาหาพี่ชาย พอได้ยินอีกฝ่ายเล่าว่าปภาวรินทร์ปลอมตัวมาเป็นคนไข้เขาก็แทบจะสำลักกาแฟ อาการที่ความคิดถึงมันจุกอกเป็นแบบนี้นี่เอง คิดถึงจนทนไม่ไหว
“พี่ก็ใจอ่อนซะทีสิ คุณหนูดาราตามจีบพี่มาตั้งแต่เด็กแล้วนะ เห็นใจได้แล้ว”
“มันใช่เรื่องที่พี่ต้องรับผิดชอบความรู้สึกของคนอื่นด้วยหรือไง” ปารวีย์เลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าเฉยเมยเย็นชา “พี่ไม่ได้บังคับให้ใครมาชอบพี่ ใครรู้สึกอะไร คนๆ นั้นก็ควรจัดการความรู้สึกตัวเองให้ได้”
“เย็นชาจังแฮะ”
ปุลวัชรบอกก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก มองคนเป็นพี่ชายอย่างสังเกต แต่สิ่งที่ได้เห็นก็คือสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
“นายไม่มีเคสหรือไง”
“มีครับ set OR ตอนบ่ายสอง”
“เคสอะไร”
“Appendicitis ครับ”
“อืม”
“ถามแค่เนี้ย”
“แล้วนายจะให้พี่ถามอะไรอีก”
“ไปดูผมผ่าไหมล่ะ ไปให้กำลังใจผมหน่อย”
“เคสง่ายๆ เอ็กซ์เทิร์น ยังทำได้”
“อาจารย์แพทย์อย่างผมก็จุกเลยดิ”
“แล้วไง” ปารวีย์เลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าเย็นชา
“คุยกับพี่ผมนึกว่าคุยกับกำแพงน้ำแข็ง ไม่รู้ว่าคุณหนูดารานั่นทนชอบพี่มาตั้งหลายปีได้ยังไง” ปุลวัชรยกยิ้มมุมปาก “แต่ก็ไม่แน่นะ ถูกดุไปคราวนี้ปั้นชาอาจจะตัดใจจากพี่ก็ได้”
“แบบนั้นก็ดี”
ปารวีย์เอ่ยอย่างไม่แยแส ปุลวัชรไหวไหล่เบาๆ ก่อนจะเดินจากไปด้วยรอยยิ้มตรงมุมปากพร้อมแก้วกาแฟในมือ แอบแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่พี่ชายของเขารู้ใจคนอื่น แต่ทำไมถึงได้ไม่รู้ใจตัวเอง ถ้าเขาเดาไม่ผิดน่ะนะ