“ค่ะ ไม่นาน” สิตาลยิ้มกริ่ม ไม่คิดอยู่ชื่นชมนานอยู่แล้ว เพราะใจหนึ่งก็อยากกลับออกไปจากป่าแห่งนี้ แต่ว่าเธอเป็นคนชอบดูดอกไม้มาก โดยเฉพาะกล้วยไม้ป่าหายาก เพราะหลังจากนี้คงไม่มีโอกาสเข้ามาที่นี่แล้ว ใครกันจะอยากหลงป่าซ้ำซาก
เส้นทางที่ราเมศพารถเอทีวีบุกไปนั้นทุรกันดารพอสมควร หลายครั้งที่เธอต้องกระเด้งกระดอน จนต้องเผลอกอดเอวเขาไว้แน่นเพราะกลัวหล่น
“คุณขับดีๆ ไม่ได้หรือไงคะ”
“ทางไม่ดี คุณก็เห็น นี่มันในป่า ไม่ใช่ถนนลาดยางนะคุณ”
สิตาลเบ้ปาก รู้สึกว่าราเมศเหมือนตั้งใจขับให้หน้าอกอวบไปถูแผ่นหลัง เธอเลยนั่งตัวเกร็งมาตลอดเส้นทาง ไม่ยอมเอาส่วนเกินล้ำหน้าคู่ใหญ่ไปเบียดเขาอีก กระทั่งได้ยินเสียงน้ำตกไหลดังซู่ แถมอากาศยังเย็นชื้นขึ้น สิตาลจึงรีบสูดออกซิเจนเข้าเต็มปอด ทันทีที่ดวงตาคู่สวยมองเห็นน้ำตกขนาดย่อม ก็รู้สึกว่ามันสวยใสราวกับสระอโนดาตในป่าหิมพานต์ หญิงสาวคิดไปโน่น เพราะมันสวยจนเกินจะบรรยาย
“ว้าว น้ำตกสวยจัง น้ำใสมากเลยค่ะ ฉันไม่เคยเห็นน้ำตกที่ไหนน้ำใสขนาดนี้เลย”
“ก็มันน้ำตกกลางป่านี่คุณ ถ้าเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วคงไม่สวยน้ำใสขนาดนี้หรอก”
“น่าเสียดาย โทรศัพท์ดันแบตฯ หมด” สิตาลพูดอย่างเสียดาย แล้วตั้งท่าเดินไปดูรอบๆ “ไหนล่ะคะ เอื้องฟ้าที่คุณพูดถึงอยู่ตรงไหน”
“อยู่นั่นไง”
มันอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ริมโขดหินก้อนยักษ์ สิตาลห่อปากตาโตด้วยความชอบใจ เพราะดอกเอื้องฟ้านั้นสวยมาก
“สวยจริงๆ ด้วย” สีชมพูอมม่วงเป็นสีโปรดของหญิงสาว กลีบดอกย้วยเป็นพวงของมันสวยกว่ากล้วยไม้ที่เธอไปซื้อจากแม่ค้าแถวจตุจักรอีก ทำให้ร่างบอบบางเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
ทว่าเสียงเข้มตะโกนไล่มาติดๆ “เดินระวังด้วยสิ เมื่อคืนฝนตก โขดหินพวกนั้นมันลื่น”
“ค่ะ ฉันรู้แล้ว”
สิตาลตอบกลับในความหวังดีของเขา แล้วเดินไปดูกล้วยไม้ใกล้ๆ โดยมีสายตาคมปลาบของราเมศมองตามด้วยความลุ้นระทึก เพราะรู้ว่าโขดหินพวกนั้นมีตะไคร่น้ำปกคลุมที่ทำให้เธอลื่นหัวฟาดโขดหินได้ไม่ยาก เขาอยากพาคนปกติออกจากป่ามากกว่าคนเจ็บ
ราเมศไล่สายตาติดตามหญิงสาวไปอย่างไม่คลาดสายตา เห็นทรวดทรง องค์เอว ผิวขาวนวลเนียน และท่าทางมีความสุขของสาวเจ้านั่นแล้ว ทำให้เขาจินตนาการไปไกล หรือเขาจะห่างหายจากผู้หญิงมานาน นี่ถ้าถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปแหวกว่ายในธารน้ำใส หุ่นของผู้หญิงคนนี้คงสวยเหมือนนางมโนราห์ ทำให้แค่อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าแก่นกายกำลังปวดหนึบ อยากจะเป็นนายพรานที่จับมโนราห์กินนรีได้แล้วเก็บเอาไว้เอง ถ้ามโนราห์กินนรีจะสวยขนาดนี้ เขาคงกลายเป็นพรานใจบาป จับแล้วซุกเอาไว้ไม่บอกใคร
ราเมศค่อยๆ เคลื่อนมือมาแตะที่เอว จากนั้นก็เคลื่อนต่ำลงกอบกุมความแข็งใหญ่ขนาดพอดีมือเอาไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆ ชักมันออกมา
“อืมห์” เขาสูดหายใจลึกๆ อย่างลุ้นไปด้วย ภาวนาอย่าให้หญิงสาวหันกลับมาในเวลานี้
เมื่อสิตาลเข้ามาใกล้ดอกไม้ป่า ดวงตาก็ยิ่งฉายประกายแวววาว “สวยจัง” เธอพึมพำ จนกระทั่ง...
เปรี้ยง เปรี้ยง
เสียงปืนที่ดังขึ้นสองนัดติดกันทำให้สาวสวยหน้าหวานตกใจสุดขีด หันมาอีกทีก็เห็นราเมศจ่อปลายกระบอกปืนมาทางตัวเอง สีหน้าดูถมึงทึง ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียม
“คุณ อย่า...!” ด้วยความตกใจทำให้สิตาลไม่ทันเห็นว่าปลายกระบอกปืนนั้นเล็งไปที่พื้นดิน
เปรี้ยง!
ราเมศลั่นไกยิงแมงป่องก้ามยาวตัวยักษ์ขนาดยี่สิบเซนติเมตร ร่างของมันกระจุยไปตามแรงกระแทกของลูกปืนทันที เขาไม่เคยเห็นแมงป่องพันธุ์นี้ตัวใหญ่เท่านี้มาก่อน เจ้านี่คงเป็นพี่ใหญ่แถวนี้ มันมีส่วนของก้ามใหญ่และยาวกว่าแมงป่องทั่วไป พิษร้ายอยู่ที่ส่วนหาง และกำลังจะเล่นงานเธอเข้าให้แล้วหากเขาไม่จัดการกับมันเสียก่อน
สิตาลตกใจจนช็อก ร่างบางทรุดลงนั่งกับโขดหิน ดวงตาที่เบิกกว้างก่อนหน้าหรี่ปรือลงเหมือนคนจะเป็นลมหมดสติตอนราเมศเก็บอาวุธปืนเอาไว้ที่เอว แล้วกระโดดข้ามโขดหินตามมาดู
เขาเขย่าเธอเพื่อให้รู้สึกตัว “คุณ เป็นอะไรไหม ตื่นสิ ไม่ตื่นจะทิ้งไว้ที่นี่นะ”
สิตาลลืมตาขึ้นมา แล้วกระถดหนีด้วยความกลัว “คุณจ่อปืนมาทางฉันทำไม”
ราเมศหัวเราะกับท่าทางหวาดกลัวเหมือนเห็นเขาเป็นโจรป่าจึงรีบพูด
“ผมไม่ได้ยิงคุณ แต่ผมเจ้านั่นต่างหาก” เขาขยับตัวหลบให้สิตาลมองเจ้าแมงป่องก้ามโตตัวที่ว่า
เมื่อเห็นซากแมงป่องที่ตัวกระจุยกระจายไปคนละทิศละทาง ไม่เหลือรูปร่างเดิม ก็ทำให้สิตาลหน้าเหยเก พานคิดไปว่าหากถูกแมงป่องตัวขนาดนี้ต่อยเอา มันคงจะเจ็บปวดและทรมานมากๆ
“ลุกไหวไหม” เขาถาม
“ไหวค่ะ” สิตาลตอบเบาๆ แล้วพยุงกายลุกขึ้น แต่ยังเข่าอ่อนอยู่กับเสียงปืนเมื่อครู่ ทำให้แข้งขามันไร้เรี่ยวแรง ยืนก็ยาก ก้าวขายิ่งลำบาก
“ทำเหมือนขาไม่มีแรงเลยนะคุณ”
“นี่ดีนะว่าขาแค่อ่อนแรง ฉันเกือบฉี่ราดไปแล้ว”
ราเมศมองหญิงสาว พยายามปั้นหน้าเรียบเฉยทั้งที่กำลังกลั้นขำ
“เอาละ ไม่ต้องกลัว มันตายไปแล้ว ไปกันเถอะ”
สิตาลอิดออด ใครไม่โดนกับตัวไม่เข้าใจหรอกว่าอาการแขนขาอ่อนแรงเป็นยังไง “ฉันยังไม่หายตกใจ คุณก็รอกันหน่อยสิคะ”
เขาแหงนหน้ามองฟ้า จากที่อากาศปลอดโปร่ง เวลานี้เมฆหมอกสีทะมึนลอยอยู่เหนือป่าปิด เป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะลงมาห่าใหญ่
“ฝนกำลังจะมา ขืนเดินช้าแบบนี้ก็ออกไปไม่ทันฝนพอดี”
เขาว่าแล้วชี้มือให้เธอดู สิตาลเลยทำหน้าแหย แล้วพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมเท่าไร
ราเมศที่เดินนำไปหลายก้าวหันมาแล้วส่ายหน้า ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ถ้าออกไปไม่ทันฝนตกก็คงได้ติดอยู่ที่นี่อีกคืนหนึ่งแน่ และถ้าคืนนี้เธอเผลอมานอนกอดเขาอีก ราเมศไม่มั่นใจว่าตัวเองจะกอดคืนหรือเปล่า แล้วตอนเช้าไม่รู้ว่าเสื้อผ้าจะยังติดกายเหมือนเมื่อเช้านี้ไหม เขาเลยตัดปัญหา
“เอาละ ผมอุ้มเอง”
“ว้าย ไม่นะ”
สิตาลโวยวายแล้วรีบส่ายหน้า แต่คนตัวใหญ่ไม่ฟังเสียง ย่างสามขุมเข้าหา
“ไม่ได้พิศวาสอยากจะอุ้มคุณเลย แต่ผมก็มีงาน จะมาเดินเล่นชมดอกไม้ป่ากับคุณนานๆ ไม่ได้หรอก” เขาถือวิสาสะช้อนอุ้มร่างของเธอขึ้นจนเท้าลอย หญิงสาวดีดดิ้น สองมือพยายามผลักตัวเองออกจากวงแขนแข็งแรง