“เพิ่งจะแต่งงานเมื่อวาน วันนี้ไปทำงานแล้วคนอื่นเขาจะมองยังไง”
งานแต่งงานอาจจะไม่ได้จัดใหญ่โต ค่อนข้างเป็นภายในด้วยซ้ำ ทว่าแขกเหรื่อและญาติผู้ใหญ่ที่เชิญมาร่วมงานล้วนเป็นบุคคลสำคัญ มีหน้ามีตาในแวดวงธุรกิจ มีคอนเนคชั่นที่ดีต่อกันมาตลอด ซึ่งก็คงแปลกใจไม่น้อยถ้าเห็นเจ้าบ่าวที่เพิ่งแต่งงานได้วันเดียวไปทำงานเสมือนว่างานแต่งงานเมื่อวานไม่ใช่งานตัวเอง
อีกอย่าง...
พิชญุตม์อาจจะไม่ใช่ดาราหรือคนดัง แต่ทว่าตำแหน่งผู้บริหารดีเด่นสี่ปีซ้อนบวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาไม่แพ้ดาราดังก็ทำให้ลูกชายของเธอได้รับความสนใจจากสื่ออยู่ตลอด ไหนจะตำแหน่งประธานกรรมใหญ่ของ ‘KITCHA GROUP’ ที่มีอายุน้อยที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนก่อน ถ้ามีคนรู้ว่าลูกชายของเธอไปทำงานทั้งที่เพิ่งแต่งงานได้วันเดียวก็คงพูดกันสนุกปาก
ดีไม่ดีเรื่องอาจจะดังไปจนถึงหูนักข่าว
“เขาก็คงคิดว่าผมถูกบังคับให้แต่งงานมั้งครับ” คนตอบหันไปยกยิ้มให้มารดา “หรือไม่ ก็คงคิดว่าผมมีงานด่วนที่สำคัญมากๆ ถึงได้เลือกงานมากกว่าเมียที่เพิ่งแต่งงานกันหมาดๆ คุณแม่เองก็อยู่กับสังคมนี้มานานก็คงเดาได้ไม่ยากว่าคนนอกที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงเขาจะคิดกันยังไง”
“ถ้าแกไม่กลัวเป็นข่าวก็ตามใจ”
“นักข่าวที่ไหนจะรู้ครับว่าผมเพิ่งแต่งงานเมื่อวานในเมื่อเราไม่ได้เชิญใครมาทำข่าวเลย อือออ...แต่ถ้าเป็นข่าวก็ดีนะครับ ได้โปรโมทโดยไม่ต้องจ่ายเงินสักบาท ก็ถือว่าเซฟคอสต์ให้บริษัท”
“ตกลงแกจะไปทำงานให้ได้” คนถูกลูกชายตีรวนพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ รู้อย่างนี้เธอไม่น่าอ่อนข้อยอมรับเงื่อนไขจัดงานเงียบๆแค่ภายในหรอก
“ครับ”
“แต่เลขาแกบอกฉันว่าวันนี้แกไม่มีงานด่วนอะไร ทำไมไม่หยุดอยู่บ้านหรือไม่ก็พาหนูมนไปพักผ่อนต่างจังหวัดสักสองสามวัน ถ้าไม่อยากขับรถไกลก็ไปบ้านพักตากอากาศเราที่หัวหินก็ได้ หรือถ้าแกขี้เกียจขับรถก็ให้นายสนขับให้”
“ให้ไปพักผ่อนกับเมียที่ผมไม่อยากได้? ไม่ล่ะครับ ให้นั่งมองสภาพรถติดหนึบในกรุงเทพยังรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า”
คุณหญิงพิมพรถึงกับสะอึก พูดไม่ออกไปชั่วขณะ “อยากจะไปทำงานก็ตามใจ”
“ทำไมครับ? หรือคุณแม่กลัวว่าผมจะไม่ใช่แค่ไปทำงาน หรือกลัวว่าผมจะไปหา...แฟนเก่า?”
“ตาพิช!”
“ครับ? ผมนั่งอยู่ใกล้แค่นี้เอง คุณแม่ไม่เห็นจะต้องเสียงดัง”
“แกพูดแบบนี้จะให้ฉันเงียบได้ยังไง อย่าลืมนะว่าแกแต่งงานแล้ว แล้วอีกอย่างถ้าแกหย่าก่อนครบสองปีตามที่เราตกลงกันทุกอย่างถือเป็นโมฆะ”
ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเธอไปทำเวรทำกรรมอะไรเอาไว้นักหนา มีลูกชายกับเขาแค่คนเดียวก็ไม่ได้ดั่งใจ ต้องมีปัญหากับเธอไปซะทุกเรื่อง ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ต้องมีจุดให้ทะเลาะกันได้ทุกครั้ง
“ผมไม่ลืมหรอกครับ แต่ถ้าหลานสาวคุณแม่เป็นฝ่ายขอหย่า...เรื่องนั้นผมก็คงต้องหย่า คุณแม่ก็รู้นี่ครับว่าผมไม่ชอบบังคับจิตใจใครโดยเฉพาะเรื่องแต่งงาน”
“ไม่มีทาง หนูมนไม่มีทางหย่ากับแกแน่นอน”
“ดูคุณแม่มั่นอกมั่นใจในตัวหลานสาวคนนี้เหลือเกินนะครับ ไม่ห่วงเลยเหรอครับว่าบางทีหลานสาวคุณแม่อาจจะทนไม่ได้ เครียดหนักถึงขั้นตรอมใจก็ได้ที่เป็นเมียผม อย่าคิดว่าผมเป็นผู้ชายที่ดีสิครับ”
“แกจะทำอะไรตาพิช?”
“นั่นสิครับ”
“ห้ามแกทำอะไรหนูมนเด็ดขาด ได้ยินที่แม่พูดไหมตาพิช!” คำพูดของลูกชายทำให้คนเป็นแม่มองตาขวาง ความกังวลเริ่มกวนใจ
พิชญุตม์ยกยิ้ม ไม่ตอบคำถามมารดา แต่เบี่ยงสายตามองร่างบางที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับจานผลไม้ในมือด้วยสายตานิ่ง
เมียป้ายแดงของเขาอยู่ในชุดเรียบง่าย เสื้อยืดพอดีตัวสีชมพูอ่อน กางเกงผ้าฝ้ายขายาวสีครีมทรงกระบอก ใบหน้าเนียนใสของเธอดูธรรมดาแทบจะไร้เครื่องสำอางถ้าไม่สังเกตดีๆก็คงไม่รู้ว่าเธอใช้บลัชออนสีชมพูพีชปัดเบาๆ เคลือบริมฝีปากอิ่มด้วยลิปบาร์ม ส่วนผมยาวดำสลวยก็มัดรวบตึงเอาไว้ง่ายๆ ดูแล้วไม่ต่างจากเด็กมหา’ลัย
อ้อ...ลืมไปว่าเธอเพิ่งจะอายุยี่สิบสาม
ก็น่าจะเพิ่งเรียนจบมาได้ไม่นาน มากสุดก็ไม่น่าจะเกินปี แต่ทว่าก็ยังเด็กอยู่มากเมื่อเทียบกับเขาที่อายุปาเข้าไปสามสิบสองและกำลังจะเข้าสามสิบสามปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เก้าปีสินะ ที่เขากับเธอห่างกัน
มนนัทธ์ธรเลือกที่จะไม่มองสบตากับคนตัวสูง พอวางจานผลไม้บนโต๊ะตรงหน้ามารดาของเขาเสร็จ ก็พาตัวเองไปนั่งยังที่ประจำที่เคยนั่งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ตักข้าวต้มขึ้นทานเงียบๆ แต่ทว่ายังไม่ทันที่ข้าวต้มหอมกรุ่นคำที่สองจะถูกส่งเข้าปากก็ต้องหยุดให้กับเสียงเข้มของคนข้างๆ
"อิ่มแล้วเหรอ?" คนเป็นแม่ถามเมื่อเห็นลูกชายรวบช้อน
แม้จะยังขุ่นเคือง แต่ทว่าก็อดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อเห็นข้าวต้มในถ้วยยังเหลือเกินกว่าครึ่ง ไข่ลวกที่สั่งเพิ่มก็ยังไม่ได้แตะ ดื่มแค่กาแฟดำแก้วเดียวจะไปพออะไร ก็อย่างที่เขาพูด จะดีจะร้ายยังไงก็ลูก
"ครับ" ตอบมารดาเสร็จ ก็หันไปพูดกับคนข้างๆ “ฉันจะไปทำงานแล้ว ถือกระเป๋าออกไปส่งหน่อย”
ไม่รู้ว่าทำไมแค่เห็นเธอนั่งกินข้าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก็พาลทำให้หงุดหงิด
“ค่ะ” มนนัทธ์ธรพยักหน้ารับ ขยับตัวลุกขึ้นยืน เดินไปถือเอากระเป๋าทั้งสองใบเพื่อตามไปส่งคนพูดที่เดินตัวเบาออกไปทันทีที่พูดจบ
คุณหญิงพิมพรอยากจะเอ่ยแย้งเมื่อเห็นกระเป๋าทั้งสองใบอยู่ที่มือเล็กของลูกสะใภ้ ทว่าสุดท้ายก็ต้องเงียบปาก เพราะกลัวว่าถ้าพูดอะไรมากลูกชายตัวดีของเธออาจจะหาทางแกล้งมนนัทธ์ธรหนักข้อกว่าเดิม