4
[PUNPANG]
จุดเริ่มต้นของความเลวร้าย
หนึ่งเดือนก่อนหน้า...
ฉันชื่อปั้นแป้งเป็นเด็กเรียนดีระดับหนึ่ง ฐานะดี บ้านอยู่แถวตลาดใหญ่กลางกรุง และคนละแวกตลาดก็นับหน้าถือตาพ่อกับแม่ว่าเป็นเฮียเป็นเจ๊ขายเพชรขายพลอยจนร่ำรวย ซึ่งฉันก็คิดแบบนั้นมาตลอด เพราะเงินที่พ่อแม่ให้ไปโรงเรียนไม่เคยขาดมือเลย และพวกท่านก็ไม่เคยบ่นเรื่องเงินๆทองๆให้ได้ยินสักครั้ง
ทุกๆวันของฉันจึงมีความสุขมาก เมื่อพ่อกับแม่ให้ทุกอย่างที่อยากได้จึงตั้งใจเรียนจนสอบได้ที่หนึ่งทุกปี แถมหน้าตาที่พอไปวัดไปวา ก็ทำให้ฉันได้เป็นดาวโรงเรียนจนถึงตอนนี้
เขินเหมือนกันที่มีรูปตัวเองติดอันดับหนึ่งในบอร์ดกลางของโรงเรียน เพราะเป็นจุดที่นักเรียนและใครที่เข้ามาต้องเห็น การแข่งขันสูงมากทั้งคะแนนโหวตและผลการเรียน แต่ฉันก็รักษาตำแหน่งนี้ได้ทุกปี
แต่ทั้งหมดนี้ฉันไม่ได้อยากแข่งกับใคร อยากเป็นคนที่เก่งขึ้น ดีขึ้นให้พ่อกับแม่ภูมิใจเท่านั้น
"ปั้นแป้งๆ แกกลับเลยไหม"
ฉันละจากบอร์ดหันไปมองตามเสียง ที่เดินยิ้มลงจากบันไดคือเพื่อนสนิทของฉันเอง เธอชื่อน้ำฝน หรือเรียกสั้นๆว่าฝน
ฝนเป็นเด็กเรียนหน้าตาน่ารัก ฉันชอบอยู่กับเธอเพราะเราใช้ชีวิตคล้ายๆกัน มาเรียนเช้ากว่าใครเพื่อกินข้าวที่โรงอาหารก่อนเข้าแถว หลังจากพักเที่ยงกินข้าวเสร็จก็ไปอยู่ที่ห้องสมุดอ่านหนังสือกันอย่างบ้าคลั่ง นี่แหละชีวิตฉัน
"กลับเลย แล้วแกล่ะฝนกลับเลยไหม?" ฉันถามด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปควงแขนเพื่อนและเดินทางเท้าไปหน้าโรงเรียนเหมือนทุกวัน
"กลับเลยสิ วันนี้เรียนแปดคาบเหนื่อยจะตายชัก ขอยืมสมองเทพๆของแกบ้างสิปั้นแป้ง แกอ่านหนังสือรอบเดียวจำได้เท่ากับฉันอ่านสิบรอบอ่ะ"
"บ้า ไม่ขนาดนั้น ฉันอ่านหลายรอบเหมือนกัน"
"ถ่อมตัว ว่าแต่ใครมารับแกวันนี้"
"พ่อมารับเหมือนเดิมจ้า กลับด้วยกันไหมทางผ่านบ้านแกพอดีให้พ่อฉันแวะส่ง"
"ก็ได้ อยากนั่งรถแพงๆอิอิ"
ฉันยิ้มตอบ ตั้งแต่เด็กจนโตพ่อฉันมารับมาส่งที่โรงเรียนทุกวันเลย ฉันไม่เคยกลับบ้านเองเลยสักครั้ง เคยคิดจะลองแล้วล่ะเพราะเกรงใจพ่อที่ต้องขับรถฝ่ารถติดหลายชั่วโมง แต่พ่อบอกว่าเป็นห่วง ท่านไม่สบายใจถ้าฉันต้องขึ้นรถเมล์นั่งแท็กซี่ ขอรับส่งจนกว่าจะเรียนจบเลย และรถแพงๆที่น้ำฝนหมายถึง ก็คือรถเบนซ์เอสคลาสของที่บ้านนั่นแหละ
มันแพงมาก พอใครต่อใครเห็นว่ารถคันนั้นคอยรับส่งฉัน คนทั้งโรงเรียนเลยมองว่าฉันเป็นลูกคุณหนูที่เพียบพร้อมทุกอย่าง
"หาอะไรกินรอพ่อไหมน้ำฝน รถน่าจะติดอีกนานกว่าจะถึง"
"แกเลี้ยงป่ะ"
"ได้สิ ฉันเลี้ยงได้อยู่แล้ว"
"งั้นโอเคเลย ขอเกาะแกกินหน่อยนะ ช่วงนี้ที่บ้านให้เงินน้อยมากค่ารถมาโรงเรียนก็จะหมดแล้ว" ฉันพยักหน้าแล้วจับมือน้ำฝนข้ามถนน เพราะฝั่งตรงข้ามมีร้านอาหารให้เลือกเยอะกว่าฝั่งโรงเรียน
"อยากกินอะไรเลือกเลย"
"ใจดีเวอร์ สมกับเป็นนางฟ้าเอกกรุณ"
"ไม่ต้องยอเลยแก แกเป็นเพื่อนฉันแค่นี้สบายมาก ว่าแต่จะกินไร?"
"เอา... นี่แล้วกัน! อาหารเกาหลี" นิ้วชี้เรียวชี้ร้านอาหารสีแดงเปิดเพลงเคป๊อป ก่อนที่ฉันจะตกลงแล้วไปนั่งกินข้าวกับน้ำฝนรอพ่อ ฉันสั่งข้าวผัดกิมจิง่ายๆกับเกี๊ยวซ่า ส่วนน้ำฝนสั่งบิบิมบับ
"แกคิดไว้แล้วใช่ไหมจะเรียนต่ออะไร" อยู่ๆน้ำฝนก็ถามขึ้นมา จนฉันพยักหน้าแล้วคีบเกี๊ยวซ่ามากิน
"อื้มๆ พ่อแม่จะส่งฉันเรียนหมอที่อังกฤษน่ะ แต่ฉันจะสอบหมอที่ไทยดูก่อน ไม่อยากห่างพ่อกับแม่กลัวคิดถึง"
"ทางเลือกแกเยอะจัง"
"แกก็เยอะ แกก็เรียนเก่งมากๆ เผลอๆเราอาจจะสอบติดหมอด้วยกัน"
น้ำฝนพนมมือไหว้ทันที
"สาธุ! ขอให้เป็นแบบนั้นทีเถอะ ฉันจะแก้ผ้ารำเลย"
'ครืดดด ครืดดด'
ฉันก้มมองโทรศัพท์มือถือตัวเองที่สั่นอยู่บนโต๊ะ
"พ่อฉันโทรมาสงสัยใกล้ถึงแล้ว แกกินเสร็จยัง?" น้ำฝนรีบตักบิบิมบับเข้าปากคำใหญ่
"ขออีกสามคำ"
ฉันพยักหน้าจากนั้นกดรับสายพ่อด้วยรอยยิ้ม
DAD | CALLING
"พ่อขา ถึงแล้วเหรอคะ"
(ถึงแล้วลูกให้พ่อจอดรอที่ไหน?)
"พ่อเห็นร้านอาหารเกาหลีหน้าโรงเรียนหนูไหมคะ ร้านสีแดงๆ"
(อ้อเห็นๆ)
"หนูรอตรงนั้นนะคะ"
(คร้าบบบบบ)
ราวๆสามนาทีฉันก็จ่ายเงินและออกไปรอพ่อที่หน้าร้าน แต่วันนี้ท่านพารถคันใหม่มารับ ซึ่งไม่รู้ไปซื้อมาตอนไหน เป็นรถตู้เบนซ์คันใหญ่ น้ำฝนดี๊ด๊าใหญ่เลย พอขึ้นมาก็รีบจองที่แล้วส่งมือถือให้ฉันถ่ายรูปให้
"ถ่ายสวยๆนะแกฉันจะอัพเฟซบุ๊กโม้คนในห้อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกปลา" ลูกปลาคือหัวโจกหลังห้องที่ไม่ถูกโฉลกกับเราเท่าไหร่
"เอาเลยโพสต์ท่าเต็มที่ รูปนี้ได้ไหม" ฉันหันมือถือให้เพื่อนดู
"สวยยย เห็นตราเบนซ์ด้วย"
"ออกมาจากร้านอาหารเกาหลีแบบนี้ กับข้าวแม่ที่บ้านคงเป็นหมัน แม่เข้าครัวรอลูกตั้งแต่เที่ยงเลยนะ"
พ่อพูดขึ้นมาจากฝั่งคนขับ
"หนูเผื่อท้องไว้แล้วค่ะ ยังไงก็จะกินกับข้าวฝีมือแม่อีกสองจาน และตักข้าวพูนๆเลย อิอิ"
"แม่ได้ยินแบบนี้ดีใจตาย ลูกสาวชอบกับข้าวฝีมือแม่ตั้งแต่เด็กจนโต" ฉันโน้มไปข้างหน้าแล้วเกาะเบาะที่พ่อนั่งอยู่เป็นปลิง
"แน่นอนอยู่แล้ว ก็กับข้าวฝีมือแม่อร่อยนี่คะ หนูดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อกับแม่นะ รักนะคะ รักที่สู๊ดดด"
มือหนาเอี้ยวมาลูบหัวฉันอย่างเอ็นดู มืออุ่นๆใหญ่ๆของพ่ออบอุ่นที่สุด ถ้าไม่เจอผู้ชายที่เหมือนพ่อฉันจะไม่แต่งงานเลย
"พ่อก็รักลูก ลูกสาวพ่อเป็นเด็กดีจริงๆ"
ครอบครัวเรามีความสุขมาก ไม่มีอะไรที่ยากลำบากหรือเรื่องเครียดๆกันเลย ที่สำคัญพ่อแม่ฉันไม่เคยทะเลาะกัน ท่านรักกันหวานหยด เช่นวันนี้พอส่งน้ำฝนเสร็จกลับมาถึงบ้าน พ่อก็ตรงไปที่ครัวหอมแก้มแม่ทันที ฉันวางกระเป๋านักเรียนลงบนโต๊ะแล้วอมยิ้มกับภาพนั้น เป็นภาพที่เห็นทุกวัน แต่เห็นทุกครั้งก็มีความสุข
"ปั้นแป้งรอเดี๋ยวนะลูก เหลือน้ำพริกกะปิอีกอย่าง"
ฉันนั่งลงที่โต๊ะอาหารและเท้าคางมองเข้าไปในครัว
"รอได้ค่ะแม่ ว่าแต่... น้ำพริกกะปิจะหวานไหมคะ มีคนคอยกอดคอยหอมอยู่ตลอดเวลาแบบนั้นน่ะ"
พ่อกับแม่มองหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคัก
"ฮ่าๆ นั่นสิ พี่วัลลภไปปอกแอปเปิลให้ลูกไป ลูกแซวแล้ว"
"แอปเปิลค่อยปอกก็ได้เดี๋ยวดำหมด ช่วยเมียทำกับข้าวดีกว่า จะได้รีบกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก"
ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ บรรยากาศในบ้านตลบอบอวลไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และความอบอุ่น ฉันถูกเอาใจยังไงก็เป็นแบบนั้น ไม่สิมากกว่าเดิมทุกๆวัน ฉันคิดตลอดว่าพ่อกับแม่ภูมิใจในตัวฉันมาก นอกจากจะดูแลลูกสาวคนนี้อย่างดี เงินไม่ขาดมือ ยังไปโม้เพื่อนบ้านว่าฉันคือดาวโรงเรียนเอกกรุณที่เกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์ๆ และกำลังจะไปเรียนหมอที่เมืองนอก
ปั้นแป้งคนนี้ไม่มีอะไรติดขัดในชีวิต
ปั้นแป้งผู้เพียบพร้อมจนได้ชื่อว่าเป็นนางฟ้าเอกกรุณ
และปั้นแป้งผู้มีความสุขที่สุดในโลก
แต่หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น... ทุกอย่างในชีวิตฉันก็ล่มสลายกลายเป็นผุยผง ฉันถูกทิ้งในบ้านหลังที่เคยอบอุ่น ไม่มีคำว่าพ่อแม่ลูกหรือครอบครัวอีกต่อไป
"แม่คะ แม่~~"
"พ่อ พ่อ พ่อไปไหนคะ"
เช้าวันหยุด วันที่เราสามคนจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทำอะไรอร่อยๆกินกัน แต่ฉันเดินลงบันไดมาถึงชั้นล่างกลับไม่เจอใครสักคน บ้านเงียบกว่าที่เคย ไม่มีเสียงข่าวจากทีวี ไม่มีกลิ่นหอมๆที่แม่ทำกับข้าว
เมื่อรู้สึกแปลกใจฉันจึงเดินไปเปิดประตูหน้าบ้านมองหารถ แต่รถก็ไม่เหลือสักคัน ทั้งคันใหม่คันเก่าหายเกลี้ยง เป็นไปได้ยังไง... ถ้าพ่อกับแม่ออกไปข้างนอกน่าจะเหลือรถไว้บ้างสิ บ้านเรามีรถตั้งสี่ห้าคันนะ
"แม่คะ!"
"พ่อคะ!"
ฉันตะโกนเรียกเสียงดังแล้ววิ่งขึ้นบันไดไปหยิบมือถือโทรหาพ่อกับแม่ แต่สิ่งที่ทำให้สงสัยคือทั้งสองเบอร์บล็อกเบอร์ฉัน
ที่รู้เพราะมีเสียงรอสายแค่ตืดเดียวสายก็ตัด ฉันพยายามโทรหาหลายสิบรอบอยากรู้ว่ารถไปไหนและพ่อกับแม่ไปไหน แต่ไม่สามารถติดต่อใครได้เลย
จึงตัดสินใจเดินออกจากบ้านถามเพื่อนบ้านแทน คนแรกคือป้าเล็ก ป้าเล็กขายน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋ตื่นมาเตรียมของแต่เช้า ป้าต้องเห็นบ้างล่ะเพราะหน้าบ้านเราหันหน้าเข้าหากัน
"ป้าเล็กคะ หนูรบกวนหน่อยค่ะ"
ฉันเกาะประตูรั้วเรียกป้าเล็กที่กำลังก้มๆเงยๆเก็บของอยู่
"อ้าวปั้นแป้งมีอะไร ยังไม่ย้ายไปเหรอ?" ฉันขมวดคิ้ว
"ย้าย? ยะ ย้ายไปไหนคะ?" ป้าเล็กเดินมาเปิดประตูรั้วแล้วมองไปที่บ้านฉัน
"เมื่อคืนสักตีสอง พ่อแม่เราขนของออกไปจากบ้านกันวุ่นวาย ป้านึกว่าปั้นแป้งไปด้วยซะอีก ย้ายไปไหนกันซื้อบ้านใหม่ใช่ไหม?"
อะไรนะ... ทำไมไม่มีใครบอกฉันเลย ฉันยืนงงและปวดหัวมาก ไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อกับแม่ทำ ก่อนจะหันไปมองบ้านตัวเองอีกครั้งแล้วยกมือทาบอกที่เต้นระส่ำ ทำไมวันนี้บ้านดูวังเวงแปลกๆ ปกติพ่อกับแม่ไม่อยู่ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย
"กระเป๋าเสื้อผ้าหลายใบเลยนะปั้นแป้ง เอ้อป้าเห็นยกตู้เซฟไปด้วย"
ตู้เซฟ?
มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ฉันจะทำยังไงดี... ทำไมฉันเคว้งคว้างแบบนี้
•••
"เช็ดน้ำตาก่อนนะ"
ฉันไม่รู้ว่าหยุดเล่าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ตัวอีกทีมีผ้าเช็ดหน้าสีเทายื่นมาตรงหน้าแล้ว และคนที่ยื่นให้... ก็คือคุณภาคิณ
"ไม่เป็นไรค่ะ"
"ถ้าไม่ไหวค่อยๆเล่าก็ได้ครับ พี่รอฟังได้"
ฉันก้มหน้าลงมองนิ้วตัวเอง แต่น้ำตาหยดเผาะลงไม่หยุด ฉันไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย เพราะไม่มีใครอยู่เคียงข้างฉัน แต่ถ้าฉันเล่าให้คุณภาคิณฟัง เขาอาจจะปล่อยฉันไปก็ได้ แค่อาจจะนะ...เพราะฉันไม่รู้ว่าจริงๆเขาเป็นคนยังไง
แต่ถ้าเทวดานางฟ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ขอให้โลกใบนี้ใจดีกับฉันสักครั้งเถอะ...
_______________________________
คอมเมนท์ = กำลังใจนะคะ
ไม่มีชีวิตใครเพอร์เฟค100% และพ่อแม่ไม่ได้รักลูกทุกคน นิยายเรื่องนี้ไรท์อยากให้สะท้อนความเป็นคน และสังคม จึงจะถ่ายทอดออกมาผ่านปั้นแป้งให้ทุกคนรู้ว่าโลกน่ากลัวกว่าที่คิดมากๆ แต่ที่น่ากลัวกว่าคือความคิดคน เพราะเราไม่มีทางรู้ และเห็นด้วยตาเปล่า
(ช่วงแรกๆจึงย้อนอดีตไปบ้างสลับกับปัจจุบันนะคะ)