ตอนที่ 14 คาลวิน

2792 Words
ตอนที่ 14 คาลวิน “แม่วิ่นนอนกับแม่ได้มั้ย” ลูกชายขี้อ้อนเดินลากตุ๊กตาจระเข้ ข้ามช่องประตูซึ่งเชื่อมถึงกันระหว่างห้องนอนของผมและอีวาน กับห้องนอนของลูก มายืนเอียงคอมองผมอยู่ตรงปลายเตียง ตั้งแต่คาลวินได้ขวบเศษๆ อีวานก็จับลูกแยกไปนอนอีกห้อง โดยบอกว่าต้องการฝึกให้คาลวินนอนเองคนเดียวได้แล้ว แรกๆ ผมเองไม่เห็นด้วยเพราะเป็นห่วง แต่โชคดีที่คาลวินเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมาก มีร้องไห้งอแงแค่ช่วง สองสามวันแรกเท่านั้น หลังจากนั้นลูกชายคนเก่งก็หลับสนิทตลอดคืนจนถึงเช้า จะมีแค่บางวันเช่นวันนี้เท่านั้นที่อาจได้ของเล่นใหม่ หนังสือนิทานใหม่ หรือได้ออกไปเห็นสิ่งแปลกหูแปลกตา ทำให้ลูกอยากมานอนใกล้ๆ แล้วชวนผมกับอีวานพูดคุยหรือซักถามในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก ตามแบบฉบับเด็กฉลาดช่างซัก ช่างถาม และนั่นไม่เคยทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อต่อการตอบคำถามของลูกเลยสักครั้ง “ได้สิครับทำไมจะไม่ได้” ผมขยับตัวเล็กน้อย เพื่อเพิ่มช่องว่างตรงกลางระหว่างผมกับอีวาน แล้วหยิบหมอนหนุนนุ่มๆ มาวางเตรียมไว้ให้ลูก “แล้วนี่คาลวินแปรงฟันหรือยังครับลูก” “วิ่นแปรงฟันแล้ว แม่ดมปากวิ่นสิ หอมมั้ย” ปากน้อยๆ อ้ากว้าง จนเห็นฟันซี่เล็กที่ยังขึ้นไม่เต็มปาก แต่ลูกชายของผมกลับพูดชัดแถมยังช่างซัก ช่างถาม ช่างเจรจา ลักษณะอุปนิสัยนี้ทำให้ไม่ว่าไปที่ไหนจึงมีแต่คนรัก คนเอ็นดู “หือออ หอมชื่นใจที่สุดเลยครับ” ผมยื่นจมูกลงไปสูดกลิ่นนมและกลิ่นผลไม้ของยาสีฟันเด็กจากโพรงปากลูก “วิ่นดมปากแม่ด้วยสิ” นิ้วชี้แตะลงมาตรงริมฝีปากผม “คาลวิ่นอยากดมเหรอลูก” “อืม” “มาสิครับ” ผมอ้าปากให้ลูกชาย “ฮ้า....ชื่นใจ” ยิ้มสดใสมาพร้อมตัวกลมพุ่งเข้าใส่ผมแล้วจุ๊บปากตรงนั้น จุ๊บปากตรงนี้ จั๊กจี้ไปทั่วแก้ม “แล้วคืนนี้คาลวินจะนอนกอดแม่ หรือว่านอนกอดพ่อครับ” ผมหันไปยักคิ้วให้อีวานที่พับเก็บ วางหนังสือเล่มใหญ่ลงไปบนโต๊ะเคียง จากนั้นเอียงตัวโน้มลงมาหอมแก้มประจบลูกเล็ก คาลวินหันหน้ามองสลับไปมาระหว่างเราสองคนเหมือนลังเล “กอดแม่” ก้อนกลมดุ๊กดิ๊กอ้าแขนสั้นโอบพาดตัวผม ใบหน้ากลมซบติดอกราบ “เอ...ขี้ประจบจังเลยนะเราเนี่ย” ผมเอื้อมมือลงไปอุ้มเอาลูกรักขึ้นมาวางทาบนอนราบอยู่กลางอก สองแก้มถูกกอด ถูกจูบอย่างมันเขี้ยว ในความปากหวานขี้ประจบตั้งแต่ยังเล็ก “อ้าว แล้วไม่มีใครอยากกอดพ่อเลยเหรอลูก” คิ้วเข้มของอีวานขมวดปม หน้างอหงิกเหล่หางตามองลูกชายด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจ “วิ่นกอดพ่อด้วย” เจ้าตัวเล็กคลานลงไปจากตัวผมพุ่งไปหาพ่อทันที “ต้องอย่างนี้สิลูก” “อ้าวแล้วแม่ล่ะ” ผมแกล้งพูด คาลวินขยับลุกขึ้นมานั่งตรงกลางระหว่างพ่อแม่สองคน แก้มกลมเป็นก้อน สลับมองซ้ายขวา เหมือนกำลังใช้ความคิดว่า ควรจะทำยังไงต่อไปดี “วิ่นอยากกอดพ่อด้วย กอดแม่ด้วย ทำยังไงดี” นิ้วสั้นชี้ลงไปบนหน้าผากด้วยทำท่าใช้ความคิด “ไม่เป็นไรครับคาลวินกอดแม่ก็ได้ แล้วเดี๋ยวพ่อจะกอดทั้งแม่แล้วก็กอดทั้งคาลวินเอง แบบนี้ดีมั้ยครับ” อีวานอุ้มลูกมาวางลงบนอกผมอย่างเดิม เพิ่มเติมคือโถมตัวเองลงมากอดทับรัดเรา สองแม่ลูกพร้อมกัน “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดีที่สุดในโลกเลย” "ไหนครับ วันนี้คาลวินมีอะไรมาให้แม่ดู" ผมหยิบสิ่งที่ลูกชายถือติดมือมาจากห้องนอน "แม่อ่านให้วิ่นฟังหน่อย" หนังสือนิทานใหม่เอี่ยมเขียนด้วยภาษารัสเซีย ถูกผมพลิกเปิดแล้วเริ่มต้นอ่านมันอย่างช้า ๆ ต้องการให้ลูกรักได้พัฒนาสมองการจดจำรูปแบบตัวอักษร พร้อมกับการมองอ่านรายละเอียดของภาพต่าง ๆ บนหน้ากระดาษ "มีนกหลายสีด้วย" นิ้วชี้เล็กจิ้มลงไปบนหน้ากระดาษ ตามจุด ตามมุมต่าง ๆ จนผมกับอีวานถึงกับอึ้ง เพราะให้ตายเถอะผมกับอีวานนอนอ่านนิทานมองลงไป แต่กลับไม่มีใครสังเกตว่าในหน้ากระดาษนั้นมันมีนกอยู่กี่ตัว หรือมีอยู่กี่สี กี่ชนิด แต่เด้กน้อยวัยเพียงเท่านี้กลับจับรายละเอียดทุกอย่างได้เพียงชั่วพริบตา "ใช่ครับ ไหนคาลวินนับดูสิลุกมันมีกี่ตัว" "ห้าตรงนี้ กับหกตัวตรงนี้ แม่อันนี้เขาเรียกนกอะไร" "อันนี้เรียกว่านะมาคอว์ครับ" "มาคอว์ เหรอมันมีสีเยอะแยะเลย ดูสิ" กว่านิทานเรื่องสั้นจะจบลงต้องใช้เวลานานพอสมควรเพราะคาลวินจะไม่ยอมให้ผมพลิกเปิดหน้าใหม่หาก หนังสือหน้าเก่าเขายังไม่ได้รับคำตอบ คำเฉลยในสิ่งที่สงสัย “จีน วันพรุ่งนี้ฉันต้องบินไปเยอรมันด่วน แต่คิดว่าน่าจะกลับมาทันงานฉลองวันเกิดของคุณปู่ เดี๋ยวเราไปเจอกันที่บ้านของคุณปู่เลยก็แล้วกันนะ” “หมายความว่าครั้งนี้ คุณจะไปหลายวันอย่างนั้นเหรอครับ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะไม่ค่อยแปลกใจ หากอีวานจะหายไปจากบ้านสักห้าวัน หรือสิบวัน แต่พอมีลูกอีวานแทบไม่เคยไปนอนค้างที่อื่น หรือหากมีเหตุจำเป็นต้องบินไป “ทำธุระ” ที่ผมรู้ดีว่ามันเกี่ยวกับธุรกิจใต้ดินสีเทาดำนั่น อีวานก็จะไปเพียงไม่นาน บางครั้งแค่ไปถึงรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จากนั้นนั่งเครื่องบินกลับมาหาลูกทันทีก็มี “ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะอยู่นานแค่ไหน แต่ยังไงฉันต้องรีบกลับมาให้ทันงานวันเกิดคุณปู่แน่” “ถ้าหากคุณกังวลเรื่องที่ผมกับคาลวินต้องเดินทางไกล เพื่อไปหาคุณปู่ อย่างนั้นเราก็โทรไปยกเลิกท่านได้นี่” อย่างที่รู้ดีว่าการยืนอยู่ในตำแหน่งลูกและเมียของอีวานนั้นค่อนข้างอันตราย ทุกก้าวที่เราเดินไม่อาจการันตีได้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรกับตัวเราบ้าง และครั้งนี้ผมต้องเดินทางไกลเป็นร้อยไมล์ โดยปราศจากอีวานเคียงข้าง ต่อให้มีบอดี้การ์ดนับสิบล้อมหน้าล้อมหลัง มันก็ไม่ได้ช่วยให้อุ่นใจขึ้น “แต่งานวันเกิดคุณปู่สำคัญมาก อย่างที่นายรู้พวกเราลูกหลานเหลน ทุกคนต้องไปรวมตัวกันเพื่ออวยพรท่าน ต่อให้ไปอยู่มุมไหน หลืบใดของโลกก็ต้องกลับไปร่วมอวยพรท่านให้ได้...” “ทำไมถ้าผมกับคาลวินไม่ไป คุณปู่จะไม่มีแรงเป่าเทียนครบแปดสิบเอ็ดขวบหรือไง” “จีน...” “เฮ้ออออ” ผมรู้คุณปู่รักและเอ็นดูคาลวินมาก หรือแม้กระทั่งหลานสะใภ้อย่างผมที่คุณปู่ท่านยอมรับยกย่อง ถึงขนาดมอบเครื่องเพชรประจำตระกูลมาให้ผมถือครองไว้ นั่นเป็นการบอกนัยๆ กับวงศาคณาญาติอื่นๆ ว่าไม่มีสิทธิ์มาระรานหรือเหยียดหยามผมอย่างเคย เพราะอย่างนี้ต่อให้มีคนในตระกูลไม่ชอบผมแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวายยุ่มย่ามเหมือนอย่างช่วงแรกๆ หากแต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกไม่สบายใจ กระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่คิดอยากเอาแต่ใจหรือตั้งแง่เล่นตัวไม่ยอมรับญาติฝั่งผัว แต่เป็นเพราะเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งในประเทศรัสเซียเอง และพวกอันธพาล นักเลงใต้ดิน มาเฟียกลุ่มเล็ก กลุ่มย่อยที่มักอาศัยช่วงชุลมุนนี้พยายามยกตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่ แล้วตระกูลของอีกวานก็ตกเป็นเป้าสายตามากกว่าใคร “อีวาน..” “ฉันรู้ว่านายกังวล ฉันจะให้คนสนิทของฉันอยู่ที่นี่ เพื่อคุ้มกันดูแลเรื่องความปลอดภัยของนายกับลูก” “อืม” "ไม่ต้องห่วงนะ ฉันบินกลับมาทันแน่" "ก็ลองผิดนัดผมดูสิ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน" "วางใจเถอะ ฉันไม่ผิดนัดกับนายและลูกหรอก" “พ่อ..ไปทำงานเหรอ” เจ้าตัวเล็กมองบอดี้การ์ดสองคนกำลังช่วยกันขนกระเป๋าสีดำขึ้นไปใส่ไว้ท้ายรถคันใหญ่ ทุกครั้งเวลาอีวานจะไป “ทำงาน” อีวานจะเป็นคนเอ่ยปากบอกกับคาลวินด้วยตัวเอง และสอนให้ลูกชายจับเวลาตามกำหนดที่พ่อจะกลับ และอีวานเป็นคนไม่เคยผิดนัดกับลูก ทำให้คาลวินไม่เคยร้องไห้งอแงเลยเวลาที่รู้วา่พ่อจะไม่อยู่บ้าน หากไม่นับเรื่องน่าหงุดหงิดกวนใจเมื่อครั้งเฮมิซกับครูซได้ทำเอาไว้ “ใช่ครับพ่อไปทำงาน แต่พ่อไปไม่กี่วันหรอก เดี๋ยวพ่อจะรีบกลับมาหาคาลวินนะครับ” “ทำไมพ่อต้องทำงาน” ลูกชายที่กำลังอยู่ในวัยช่างซักช่างถามยืนย่นคิ้วชี้นิ้วไปยังกระเป๋าดำใบใหญ่ “พ่อไปทำงาน เพื่อจะได้หาเงินมาซื้อตุ๊กตาจระเข้ให้คาลวินยังไงล่ะลูก” “อ๋อ พ่อต้องหาเงินเยอะๆ เหรอ” หน้ากลมพยักหงึกหงักเหมือนจะเข้าใจ “ใช่ครับพ่อไปหาเงินเยอะๆ มาให้คาลวินกับแม่” “วิ่นอยากไปทำงานกับพ่อด้วยได้มั้ยล่ะ” “เอาไว้รอให้คาลวินโตกว่านี้อีกหน่อย พ่อจะพาคาลวินไปทำงานกับพ่อแน่นอนครับ แต่ตอนนี้คาลวินต้องอยู่บ้านดูแลแม่ โอเคมั้ยครับ” “โอเค” “เก่งมากลูกพ่อ” “คาลวินมาหาแม่เถอะลูก ให้พ่อขึ้นรถได้แล้วเดี๋ยวพ่อจะสาย” ผมยื่นมือไปรับลูกชายมาอุ้มไว้กับตัว “แล้วฉันจะรีบกลับ” อีวานขยับยื่นหน้ามาจูบปากผมเบาๆ จากนั้นเคลียจมูกลูบไปตามแก้มซ้ายขวา “คุณรู้อยู่แล้วว่าถ้าผิดนัดกับผมมันจะเกิดอะไรขึ้น” “ฮึ ฉันไม่เสี่ยงทำให้นายหงุดหงิดเรื่องนี้หรอก” “ไปได้แล้ว ผมจะพาลูกเข้าบ้าน” “ฝากดูแลทุกอย่างทางนี้ด้วยนะ” อีวานจูบลาผมกับคาลวินแล้วเดินตรงดิ่งไปขึ้นรถแวนสีดำคันใหญ่ซึ่งจอดเรียงรอไว้เป็นแถวยาวห้าหกคัน “บ๊ายบาย” มือน้อยยกขึ้นโบกไปมา เมื่อท้ายขบวนรถคันสุดท้ายของอีวานเคลื่อนออกจากรั้วบ้าน “ไปครับ เราเข้าบ้านกันดีกว่า” “แม่ วิ่นไปหาพี่เข้ได้ไหม” เมื่อเราสองแม่ลูกเดินกลับเข้ามาด้านใน ลูกชายของผมก็ร้องหาจระเข้ สัตว์เลี้ยงแสนรักของพ่อทันที ข้อดีอย่างหนึ่งของการเลี้ยงสัตว์หน้าตาน่ากลัวเอาไว้อย่างนี้คือ มันทำให้คาลวินเป็นเด็กใจแข็ง ไม่เคยพูดว่ากลัวอะไรง่ายๆ ทั้งสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ สัตว์เลื้อยคลานประเภทไหน คาลวินวิ่งเข้าใส่อย่างเดียว แต่นั่นแหละเพราะคาลวินไม่กลัวอะไรเลย มันจึงกลายเป็นดาบสองคม ข้อเสียที่ผมเองก็หวั่นใจ คาลวินยังเด็กเกินกว่าจะแยกแยะว่า อะไรเหมาะ อะไรควร หรืออะไรอันตราย.... “ไปให้อาหารพี่เข้ได้ แต่ลงไปหาพี่เขาข้างล่างไม่ได้นะลูก” “ทำไมล่ะ” “เพราะว่าพี่เข้ไม่ชอบให้ใครลงไปรบกวน” “แต่วิ่นเอาไก่ไปให้พี่เข้...” “เอาไก่ไปให้พี่กิน เราก็จะยืนอยู่บนนี้ แล้วดูพี่เขากินเฉยๆ เราจะไม่ลงไปข้างล่าง โอเคมั้ยครับ” “แต่วิ่นอยากจับพี่เขาแบบนี้....” มือเล็กๆ ทำท่าเหมือนอย่างเวลาลูบหัวตุ๊กตาตัวใหญ่ในห้องนอน “ไม่ได้หรอกลูก พี่เข้ตัวจริงดุมาก แล้วก็ขี้หงุดหงิดมากเลย ถ้าคาลวินลงไปใกล้ๆ พี่เขาจะงับแขนแบบนี้เลยนะครับ แล้วคาลวินก็จะเป็นแผลต้องไปให้คุณหมอฉีดยาอีกนะ” “อือ พี่เขาจะกัดวิ่นเหรอ” ตาละห้อยมองกลับลงไปยังบ่อจระเข้เบื้องล่าง กรงสำหรับใส่อาหารถูกระบบไฮดรอลิกขยับมาใกล้จุดที่ผมกับคาลวินยืน บอดี้การ์ดสามคนเดินถือลังสำหรับใส่ซี่โครงไก่สด และซี่โครงอ่อนของหมูมาให้ คาลวินชะโงกหน้าลงไปมองด้วยความสนใจ ก่อนจะช่วยบอดี้การ์ดทำท่าหยิบไก่ใส่ลงไปในกรง แล้วหย่อนลงไปด้านล่าง “ว้าวววว พี่กินใหญ่เลย” มือเล็กเกาะรั้วชะเง้อคอมองลงไปดูการให้อาหารจระเข้ยักษ์ สี่ตัวด้านล่าง “พี่เข้กินอาหารแล้ว คาลวินล่ะครับหิวนมหรือยังลูก” “วิ่นอยากกินไก่แบบพี่เข้ด้วย” “หื้อ คาลวินกินไก่แบบพี่เข้ไม่ได้หรอกลูก” “ทำไมล่ะ” “เพราะว่าฟันของคาลวินยังไม่โต ดูสิ...พี่เข้มีฟันตั้งเยอะ แถมฟันพี่เขายังซี่ใหญ่ แล้วก็ยาวมากด้วย แต่คาลวินมีฟันแค่นิดเดียวเอง ตอนนี้กินนมกับข้าวโอ๊ตไปก่อนนะครับ” “วิ่นต้องแปรงฟันเยอะๆ เหรอ” นิ้วชี้สั้นๆ จิ้มชี้เข้าไปในปาก “ใช่ครับ คาลวินต้องกินข้าวเยอะๆ กินนมเยอะๆ แล้วก็ต้องแปรงฟันทุกวันจะได้มีฟันแข็งแรงแบบพี่เข้” “โอเค พอฟันวิ่นยาว วิ่นจะฉีกไก่ง่ำ ๆ แบบนี้เลย” เจ้าอ้วนพุงโตกำมือเล็กเลียนแบบท่าฉีกไก่จนผมอดขำไม่ได้ “แม่เราไปหาคุณทวดเหรอ” ผมอุ้มลูกชายขึ้นไปนั่งยังเบาะสำหรับเด็กตำแหน่งประจำ ตรวจเช็กสายคาดเข็มขัดนิรภัยทุกเส้นว่ามันแน่นหนาและไม่ทำให้ลูกอึดอัด ขณะเดียวกับบอดี้การ์ด 3-4 คนกำลังช่วยพยาบาลและพี่เลี้ยงพิเศษยกกระเป๋าสัมภาระของทั้งผมและคาลวินขึ้นมาใส่ลงยังท้ายรถคันที่จอดอยู่ถัดๆ ไป เนื่องจากเมื่อคืนนี้อีวานวิดีโอคอลกลับมาบอกว่า หลังจากจบงานเลี้ยงจะพาผมกับลูกไปเที่ยวต่ออีกหลายวัน เราจึงจำเป็นต้องเตรียมของหลายชิ้นหลายอย่างเพิ่มซึ่งส่วนมากเป็นของคาลวินทั้งนั้น เพราะเจ้าตัวร้องร่ำๆ จะเอาตุ๊กตา ของเล่น ตัวต่อ หนังสือนิทานไปด้วย กระเป๋าเลยเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ “ใช่ครับ เราจะไปแฮปปี้เบิร์ดเดย์คุณทวดกัน” “วิ่นมีของขวัญให้คุณทวดด้วย” กลีบปากบางยิ้มสดใสอวดฟันซี่เล็กเรียงกันเห็นเป็นจุดน้อยๆ “เยี่ยมมากเลยครับ คุณทวดจะต้องดีใจมากแน่ๆ” ผมนั่งมาในรถตู้ฟิล์มดำทึบแสง ด้านหน้ามีรถบอดี้การ์ดนำหัวแถว สองคันจากนั้นจึงเป็นคันของผมซึ่งมีบอดี้การ์ดมือขวาของอีวานนั่งประกบข้างคนขับ ด้านหลังนั้นเป็นพยาบาลวิชาชีพซึ่งมีหน้าที่ช่วยดูแลคาลวินในช่วงที่ผมอาจไม่สะดวก ส่วนพี่เลี้ยงอีก สองคนนั่งอยู่ภายในรถที่ขับตามมาด้านหลัง คาลวิน : ฮัลโหลคุณทวด // หน้าจอทีวีขนาดใหญ่ภายในรถฉายแสดงภาพใบหน้าคุณทวดวัยแปดสิบเอ็ดขึ้นมา ยิ้มกว้างสดใสของเหลนวัย หนึ่งขวบ แปดเดือน ทำให้เจ้าของวันเกิดยิ้มร่า คุณทวด : ว่ายังไงเหลนทวด ออกเดินทางแล้วใช่มั้ย // ประมุขใหญ่ตระกูลมาเฟียพยักหน้าเบนสายตามาทางผม จีน : ครับคิดว่าคงจะไปถึงที่นั่นช่วงค่ำพอดี คุณทวด : ฉันให้พ่อบ้านไปเรียนทำอาหารไทย เตรียมทำต้มยำกุ้งไว้ให้นายโดยเฉพาะ จีน : ขอบคุณครับ แต่ผมอยากกินปูผัดผงกะหรีมากกว่า // ผมแกล้งพูดตอบไป คุณทวด : ฉันน่ะรู้อยู่แล้วว่านายต้องพูดแบบนี้ ฉันเตรียมเอาไว้หมด คาลวิน : วิ่นกินด้วยได้มั้ย คุณทวด : ฮ่า ฮ่า ฮ่า ได้สิลูก ทวดก็เตรียมของอร่อยไว้ให้คาลวินเหมือนกัน คาลวิน : คุณทวด วิ่นจะร้องเพลง แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูให้คุณทวดนะ คุณทวด : อย่างนั้นเหรอเอาสิๆ ...ช่างน่ารักจริงๆ เหลนรักของทวด // คนแก่หัวเราะร่าท่าทางมีความสุขมาก คาลวิน : แฮปปี้เบิร์ดเดย์... ตูมมมมม เอี๊ยด โครม “แม่.....” "คาลวิน!"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD