2. ใครกัน

2456 Words
สามวันผ่านไป ณ ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ พวกมันกำลังออกดอกบานสะพรั่งอวดโฉมประชันกันเฉกเช่นทุกวัน หลังจากที่ทั่วแคว้นสงบสุขมานานนับร้อยปี เพราะสาส์นยุติสงครามของทั้งสองแคว้นที่เคยทำร่วมกัน แต่บัดนี้มันกำลังถูกเหยียบย่ำจากกองทัพของแคว้นตงเยี่ยน ซึ่งเคลื่อนพลไปประชิตติดเขตเมืองของอีกฝ่ายในยามบ่าย หลังจากฮ่องเต้องค์เก่านั้นสิ้นไปเมื่อไม่นาน ผู้มาครองบัลลังก์คนใหม่จึงมิจำเป็นต้องรักษาสัญญาอีกต่อไป ก่อนนี้จินหลินเฝ้ารอมานานแม้จะได้ขึ้นครองราชมาเกือบสิบปีแล้ว แต่เพราะบิดายังมีชีวิตอยู่ เขาจึงมิอาจทำสิ่งใดได้ ต่างจากยามนี้มากเมื่อมีโอกาสจึงมิคิดจะปล่อยให้มันเสียเปล่า เขาเป็นผู้ที่หลงในอำนาจและมีความอยากครอบครองทั่วหล้า ทั้งยังมีอาผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้น อย่างอ๋องเทียนหรานซึ่งรบชนะแคว้นรอบข้างมาจนได้รับของกำนัลเป็นเมืองต่างๆ มากมาย อนาเขตของแคว้นตงเยี่ยนแผ่ไพศาลไปทั่วหล้าจนผู้คนต่างหวั่นเกรง ยามได้ยินว่าแม่ทัพผู้นี้ย่างกลายไป และมันก็เป็นเช่นนี้มาเกือบสิบปีแล้ว นั่นยิ่งทำให้สองอาหลานฮึกเหิมมากขึ้น ความสงบสุขบนพื้นแผ่นดินทั้งสองมีมายาวนาน แต่ยามนี้กลับเต็มไปด้วยทหารนับหมื่นซึ่งกำลังตั้งค่ายห่างออกมาเพียงเล็กน้อย ทั้งที่อยู่ในเขตแดนของเมืองเหลียง ทันทีพันธะสงบศึกครบหนึ่งร้อยปีจบลง ฮ่องเต้จินหลินวัยยี่สิบหก ก็ออกคำสั่งให้ผู้เป็นอาตีเอาสองเมืองซึ่งอยู่ติดเขตแดนมาเป็นของตนทันที ทำให้ผู้กระหายการสู้รบอย่างอ๋องเทียนหรานรีบรับคำโดยมิลังเล “ท่านอ๋องฝ่ายนั้นมิได้ตั้งรับอันใดเลยพะย่ะค่ะ ดูท่าพวกมันคงมิรู้ตัวเลยกระมัง ถึงได้ใจเย็นนัก แม้แต่ทหารที่ยืนเฝ้ายามก็มิเห็น” “หึ! ไห่เฉิงเจ้ามิรู้หรือว่าแคว้นเหลียงนั้นมิมีแม้กระทั่งแม่ทัพ แล้วพวกมันจะตั้งรับเราได้อย่างไรกัน” หลู่ถงเอ่ยกับสหายตนซึ่งยืนอยู่ข้างกัน ทำเอาไห่เฉิงอดที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันมิได้ เพราะสิ่งที่ได้ยินมานั้นหาได้เป็นเช่นที่อีกฝ่ายเอ่ย การถกเถียงจึงเริ่มขึ้น ระหว่างสองสหายคนสนิทของอ๋องเทียนหราน ผู้ซึ่งเหนื่อยหน่ายกับองครักษ์ทั้งสองยามอยู่ใกล้กัน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร แคว้นออกจะใหญ่เพียงนี้จะไม่มีแม่ทัพได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าสามเดือนก่อนแคว้นเหลียงทำศึกกับแคว้นเหว่ยเพียงไม่นานก็ได้ชัยชนะ หากมิมีแม่ทัพจะทำได้เช่นไรกัน เจ้าเอาอันใดมาเอ่ยให้ท่านอ๋องฟัง หากมิรู้จริงก็อย่าพูดไปเชียว” หลู่ถงทั้งถามและตำหนิสหายตน ต่างจากเทียนหรานที่นั่งนิ่งบนหลังม้า บุรุษหนุ่มวัยสามสิบสี่ รูปร่างสูงสง่าใบหน้ารูปงามที่เป็นเอกลักษณ์ยังคงจ้องไปที่กำแพงเมือง ยามนี้เขาอยู่ในชุดเกราะซึ่งมีตะขายเงินอยู่ด้านใน จมูกเรียวโด่งรับกับคิ้วหนานัยน์ตาดำขลับดุจเหยี่ยวที่จ้องตระครุบเหยื่อ เขากำลังสอดส่องไปรอบอาณาบริเวณ ก่อนจะเงยขึ้นบนท้องนภาเพราะมีบางอย่างบินอยู่เหนือหัว “หรือจะเป็นอินทรีย์ของฝ่ายนั้นพะย่ะค่ะ” ไห่เฉิงเอ่ยขึ้นเพราะมิเคยเห็นนกชนิดนี้มานานแล้วก่อนจะสั่งให้กองทัพตั้งแถวห่างจากกำแพงเมืองเล็กน้อย “เอาธนูมา” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งคนสนิท ร่างสูงบนหลังม้าน้าวสายด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาเล็งไปที่นกตัวใหญ่ซึ่งบินอยู่ ยิ้มร้ายเผยขึ้นก่อนจะปล่อยลูกศรพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย ที่มันกำลังบินกลับไปยังกำแพงเมือง แต่รอยยิ้มนั้นกลับหุบลงเมื่อได้ยินเสียงจากด้านบนคล้ายเหล็กกระทบกัน และชั่วอึดใจก็ปรากฏลูกศรพุ่งตรงมาจุดที่เขาอยู่แต่ก็แค่บนพื้นเท่านั้น ซึ่งมันก็ไกลจากกำแพงมากนัก จนมิน่าจะมีผู้ใดสามารถยิงมาถึงได้ แม้แต่เทียนหรานก็มิอาจยิงได้ไกลถึงเพียงนี้ “ท่านอ๋องระวังพะย่ะค่ะ” องครักษ์ประจำตัวและทหารต่างก็รีบสร้างเกราะกำบังผู้เป็นนายทันที คราแรกพวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงยิงพลาด แต่พอลูกศรยังคงพุ่งมาเรื่อยๆ และเข้าเป้าทหารทุกคน แม้จะมีเกราะกำบังไว้แต่ก็ยังสามารถเจาะเข้ารูเล็กมาได้ ราวกับว่าคนผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้าเลยก็ว่าได้ ทำให้เหล่าองครักษ์เกิดความกังวลขึ้นมามิน้อย “ท่านอ๋องลงมาจากหลังม้าก่อนพะย่ะค่ะ” หลู่ถงเอ่ยกับผู้เป็นนายอย่างกังวล เพราะดูท่าอีกฝ่ายคงมีฝีมือไม่น้อย แม้จะสะเปะสะปะจนพลาดมิถูกจุดสำคัญก็เถอะ แต่ก็มิอาจประมาทได้ “หึ! เจ้าคิดว่าหากคนผู้นั้นคิดจะสังหารข้าจะยิงพลาดเช่นนั้นหรือ ในเมื่อเจาะเข้ามาในเกราะได้ถึงเพียงนี้แล้ว” อ๋องเทียนหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เขามิได้หวาดกลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย แม้จะมองเห็นเพียงเงาลางเลือนบนกำแพงเพราะในยามนี้เป็นช่วงพระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลง จึงทำให้อีกฝ่ายได้เปรียบเป็นอย่างมาก เพราะฝั่งตนนั้นต้องสู้กับแสงที่กำลังสาดส่องมากระทบจนปวดตา แต่ที่เขาแปลกใจคือบนกำแพงนั้นไม่น่าจะมีพลธนูอื่น เพราะแม้จะอยู่ไกลตาเขาก็เห็นว่ามีเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ “เจ้าเป็นใครกัน คนเพียงคนเดียวทำคนของข้าบาดเจ็บได้มากมายเพียงนี้เชียวหรือ สั่งคนของเราตั้งค่ายตรงนี้ ข้าจะดูซิว่ามันจะทำเช่นใดต่อ” “พะย่ะค่ะ” ไห่เฉิงรับคำก่อนจะหันไปสั่งทหาร “คนผู้นี้เก่งกาจมากที่ยิงธนูได้ไกลถึงเพียงนี้นะพะย่ะค่ะ เสียแต่มิแม่นเท่าใดนักคงเพราะระยะไกลจนเกินไปจึงทำให้พลาดเช่นนี้ หากอยู่ใกล้ทหารเราคงมิรอดเป็นแน่” เทียนหรานมองเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บ เขามิคิดเช่นนั้นแม้แต่น้อย เพราะบาดแผลมิได้ถูกจุดสำคัญเลย ส่วนมากจะเป็นที่แขนซะส่วนใหญ่ เหมือนจงใจให้แรงถดถอยมากกว่าหมายจะเอาชีวิต เขาอยากรู้เสียจริงว่าคนบนกำแพงเป็นผู้ใดถึงได้เก่งกาจเพียงนี้ ดูท่าการมาในครั้งนี้จะไม่เป็นอย่างที่คิด “ดูเหมือนพวกมันจะมีแผนรับมือเราแล้วนะพะย่ะค่ะ” “นั่นสิ กลศึกก็ดูแปลกประหลาดเหลือเกิน มิมีการเตรียมรับจากด้านนอก แต่ใช้กำแพงเมืองเป็นด่านปราการ หากเราตีเข้าไปมิได้คงเสียไพร่พลมากเป็นแน่” “หลู่ถงยังมิรบเจ้าก็ตื่นกลัวแล้วกระนั้นหรือ” “ข้ามิเคยตื่นกลัว เพียงแต่แปลกใจในกลศึกเช่นนี้เท่านั้น เจ้าดูสิบนกำแพงมิมีผู้ใดแม้แต่น้อย” ไห่เฉิงสังเกตการตามที่สหายเอ่ยบอก มันเป็นเช่นนั้นจริง เพราะด้านบนนั้นมิมีทหารยืนยามเลยสักคน พอมองขึ้นไปเห็นก็เพียงธงของเมืองเท่านั้น ซึ่งมิเพียงแต่เขาสองคนทหารที่กำลังรอการปะทะก็คิดเช่นกัน จนบางคนอดคิดว่ามีผู้วิเศษคอยปกป้องที่นี่หรือไม่ เทียนหรานเงยหน้าขึ้นจากแผนผัง เขามองมิเห็นกลยุทธ์กลศึกที่อีกฝ่ายจะนำมาใช้เพราะพื้นที่แถวนี้มีเพียงพื้นป่าและแมกไม้นานาพันธ์ ที่มันออกดอกเสียจนเต็มทุ่งไปหมด แม่น้ำหรือบางแห่งที่จะทำให้เกิดจุดพลิกผันก็มิมี “สั่งคนของเราให้เตรียมพร้อม ข้าจะบุกโจมตีเมืองเดี๋ยวนี้เลย ให้กองหน้ารุกเปิดประตูเมืองให้ได้” “พะย่ะค่ะ” ไห่เฉิงรับคำ ก่อนจะโบกธงแปลขบวนนำทัพ แต่พอเริ่มตั้งแถวก็มีลูกศรพุ่งมาปักนายกอง จนทำให้สิ้นใจในทันที ทำให้ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เพราะระยะนี้ไกลจนมิน่าจะยิงมาถึงได้ เทียนหรานลุกขึ้นยืนบนรถม้าที่ใช้ทำศึก เขามองไปยังกำแพงเมืองซึ่งในยามนี้ปรากฏร่างของใครบางคนอีกครั้ง ราวกับเป็นสัญญาณเตือนมิให้ขยับเคลื่อนทัพ “นายน้อยไยมิสังหารคนผู้นั้นเลยล่ะขอรับ” “นั่นสิ หากมันตายเสียเราจะได้มิต้องทำศึก” ม่านหลี่เอ่ยสำทับสหายตน หากแต่ผู้เป็นนายนั้นยังคงยืนนิ่ง เพราะมิรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นใช่อ๋องเทียนหรานหรือไม่ เพราะในคราแรกคนส่งข่าวบอกว่าผู้นำทัพคืออ๋องผู้พี่ หากเป็นเช่นนั้นการร่วมมือสังหารฮ่องเต้คงเสียเปล่าเป็นแน่ “เอาไว้ให้ข้าแน่ใจว่าเป็นอ๋องเทียนหราน คนผู้นั้นอาจจะเป็นอ๋องซานเหรินก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นแผนที่วางเอาไว้คงได้เสียเปล่าในวันข้างหน้า” สองสหายคนสนิทได้แต่มองหน้ากัน เพราะยังมิเข้าใจแผนการของผู้เป็นนายนัก การร่วมมือกับอ๋องต่างแคว้นเกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อน ตั้งแต่ซานเหรินได้ยินว่าฮ่องเต้จินหลินหมายจะตีเอาเมืองเหลียงเหอ จึงได้ลอบติดต่อกับองค์ชายเฟยหลงเงียบๆ เพื่อหาโอกาสกำจัดฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเยี่ยน รวมถึงอ๋องเทียนหรานอนุชาต่างมารดา “แต่เมื่อครู่นายน้อยสังหารนายกองของฝ่ายนั้นไปแล้วนะเจ้าคะ ไยถึงทำเช่นนั้น” “เห็นว่าคนผู้นี้เหี้ยมโหดมิแพ้ผู้เป็นนาย ข่มขืนสตรีและเด็กยามที่รบชนะเมืองนั้นๆ ปล่อยเอาไว้ก็เป็นภัยต่อผู้อื่น หากคนที่อยู่บนรถม้าในยามนี้คืออ๋องเทียนหราน ข้าก็มิมีทางละเว้นเช่นกัน สั่งคนของเราเตรียมพร้อมให้ดี” ด้วยระยะที่มองเห็นเพียงร่างสูงและชุดที่สวมใส่ ทำให้นายน้อยผู้นี้มิอาจลงมือได้ในยามนี้ เพราะมิเคยพบพานบุรุษทั้งสองเลยสักครา คำสั่งที่ได้รับมาจากองค์ชายสามจึงทำได้เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น หากเป็นอ๋องผู้พี่จะมิมีการรบที่ทำให้ผู้คนล้มตาย ฝ่ายตนจะเปิดประตูเมืองให้อย่างยอมจำนน แต่หากอีกฝ่ายมิใช่อ๋องซานเหริน ก็คงต้องห้ำหั่นเพื่อปกป้องไพร่พลของตนแทน เพราะการใหญ่ที่เคยหารือกันไว้จะทำสำเร็จได้เมื่อย่างกลายเข้าไปในวังหลวงเท่านั้น ศึกครานี้จึงเป็นเพียงแผนส่วนหนึ่งที่จะได้เข้าใกล้ฮ่องเต้ในวันข้างหน้า แต่หากคนนำทัพคือเทียนหรานก็ถือว่านี่คือกำไร เพราะจะได้กำจัดเสียให้สิ้นซากเสียเลย จากนั้นก็จะเหลือเพียงแค่ฮ่องเต้โฉดชั่วเท่านั้น นี่คือสิ่งที่องค์ชายสามและอ๋องซานเหรินวางแผนร่วมมือกัน แม้จะต้องใช้เวลานานก็เถอะ แต่หากทำสำเร็จก็ถือว่าคุ้มค่ามาก ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ ยามนี้เทียนหรานกำลังหาวิธีที่จะโจมตีอีกฝ่าย ด้วยการสละไพร่พลของตนเองเป็นด่านหน้า เพื่อให้อีกกองพังประตูเมืองเข้าไป นั่นเป็นความคิดที่เขามักใช้เป็นประจำ เพราะมิเคยใส่ใจถึงชีวิตของผู้อื่น ขอเพียงชัยชนะที่จะได้รับเท่านั้น แต่พอกองหน้าเคลื่อนขบวนก็เจอกับธนูไฟที่พุ่งออกมาโจมตี และมีบางสิ่งที่เป็นน้ำสีดำสามารถติดไฟได้ง่ายถูกยิงออกมาด้วย ยามที่ปะทะกันด้านบน ไฟและของเหลวนั้นก็ปรากฎเป็นดวงเล็กๆ แตกกระจายบนอากาศสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้คนด้านล่าง เหล่าทหารต่างก็วิ่งหาที่หลบ มิเว้นแม้แต่อ๋องเทียนหราน เพราะถึงจะเป็นเพียงดวงไฟเล็กๆ แต่มันก็ทำให้ปวดแสบปวดร้อนมิน้อย อีกทั้งหากลุกไหม้บนร่างกายคงจะทรมานมากเป็นแน่ “ท่านอ๋องระวังพะย่ะค่ะ พวกมันใช้กระไรเป็นอาวุธ ไยถึงดูน่ากลัวเช่นนี้ ติดไฟได้แม้บนอากาศ” ไห่เฉิงเอ่ยบอกผู้เป็นนาย ซึ่งยามนี้เขายืนขบกรามระบายความโกรธที่มิสามารถทำสิ่งใดได้ จึงจำต้องถอยทัพออกมาอยู่ที่เชิงป่าแทน เพื่อให้พ้นระยะของธนู ด้วยว่าอีกฝ่ายกำลังระดมยิงมาอย่างต่อเนื่อง “ข้าตีเข้าไปได้เมื่อใด จะสังหารผู้ที่คิดแผนนี้เป็นคนแรก สั่งคนของเราตั้งค่าย และสั่งคนเดินยามอย่าให้ขาด” เทียนหรานเอ่ยสั่ง ก่อนจะมองมาที่แขนของหลู่ถง ซึ่งถูกลูกไฟนั้นตกลงมาใส่ กว่าจะดับมันได้ก็ทำเอาพองไปแล้ว สร้างความเจ็บปวดทรมานให้มิต่างจากทหารคนอื่นๆ “เจ้ารีบไปทำแผลเสีย ดูท่าคงจะเจ็บมิใช่น้อย มันใช้สิ่งใดกันทำอาวุธร้ายนี้ขึ้นมา ผู้ที่คิดขึ้นเป็นใครกัน” น้ำเสียงนั้นยังคงเจือปนไปด้วยความขุ่นเคือง เขามองเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะมองกลับไปยังกำแพงเมือง ที่ฝ่ายนั้นยังคงเก็บตัวเงียบเช่นเดิม แม้จะชนะในวันนี้แล้วก็ตาม แต่อย่างไรเสียวันพรุ่งเขาจะต้องได้ตัวคนที่คิดค้นอาวุธนี้มาสังเวยคนเจ็บเป็นแน่ “พวกมันยิงธนูกันแม่นเหลือเกินพะย่ะค่ะ ทำดวงไฟด้านบนแทบจะทุกคราที่ยิงออกมา หากเป็นเช่นนี้เราจะตั้งรับเช่นไรดี มิต้องเสียไพร่พลเปล่าโดยยังมิทันได้เข้าตีเมืองหรอกหรือพะย่ะค่ะ” ไห่เฉิงเอ่ยในขณะที่นั่งมองสหายทำแผล # ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD