หลังจากฟังคนของตนพูดเรื่องราวของศัตรูอยู่เนิ่นนาน สตรีน้อยจึงหันมาเอ่ยกับคนที่กอดขาอยู่
“ข้าเชื่อว่าอาหรานคงมิใช่คนผู้นั้นหรอก คนเช่นอ๋องเทียนหรานคงมิลดเกียรติตนทำเรื่องอัปยศอดสูเช่นนี้แน่ ชัยชนะจะมีค่าได้เช่นไรหากทำทุกอย่างแม้กระทั่งการหลอกลวง ซึ่งนำมาเพียงแค่ประโยชน์ของตน”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นก่อนจะหันมาสบนัยน์ตาคมของคนที่ตนกล่าวถึง ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับชะงักไปชั่วครู่ เพราะเขากำลังคิดเรื่องที่หาญสวี่และม่านหลี่พูดคุยกัน ก่อนจะรีบดึงสติแล้วเอ่ยรบเร้าคนตัวเล็ก
“ไปเที่ยว ไปเที่ยว” เทียนหรานเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น เพราะเกรงว่าหากเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อ อาจมีคนจับสังเกตอาการของตนได้ ทั้งหมดจึงเดินทางออกมาจากเรือนรับรอง โดยมีรถม้ามาจอดรออยู่
เทียนหรานได้รับอนุญาตให้นั่งข้างคนบังคับม้า เขาสังเกตุมองไปโดยรอบ ซึ่งยามนี้ช่างแตกต่างจากตอนกลางคืนเป็นอย่างมาก
ทหารกำลังฝึกการใช้อาวุธโดยเฉพาะธนู และเมื่อขึ้นมาด้านบนกำแพงแล้วก็พอเข้าใจว่าเหตุใดจึงมิเห็นทหารเฝ้ายาม อันที่จริงพวกเขามีรูขนาดเล็กที่ใช้ไว้สอดส่องด้านนอกอยู่ต่างหาก
“ส่องอันใดอยู่หรืออาหราน” ม่านหลี่เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นท่านั่งขัดขาทับกันไว้ของชายหนุ่ม
“มีรู เห็นต้นไม้ใหญ่”
เทียนหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำให้มิมีผู้ใดใส่ใจเขาอีก จึงเป็นโอกาสให้ได้สำรวจทุกอย่างจนเต็มตา
“นายน้อยดูเหมือนฝ่ายนั้นจะถอยทัพไปแล้วนะขอรับ”
เสียงเอ่ยเรียกจากหาญสวี่ดังขึ้น ทำให้เทียนหรานหันมองทันทีว่าคนที่ถูกเรียกนั้นเป็นใคร แต่เขากลับมิเห็นผู้อื่นปรากฏตัวแม้แต่น้อย มีเพียงแม่ทัพคนเมื่อคืนเท่านั้นซึ่งพึ่งเดินเข้ามาหาคนกลุ่มนี้ ความสงสัยคลี่คลายลงเมื่อแม่ทัพเผยรายงานอีกครั้ง
“แคว้นตงเยี่ยนย้ายไปตั้งทัพห่างจากเมืองสิบหลี้ขอรับ น่าแปลกที่พวกมันมิบุกเข้ามา ได้ยินว่าอ๋องเทียนหรานนั้นใจร้อนเสียยิ่งกว่าไฟ ไม่น่าอยู่เฉยเช่นนี้ได้”
“นั่นสิ คนคิดแต่จะเอาชนะเช่นนั้นไยถึงมิบุกเข้ามา”
หาญสวี่เอ่ยสำทับคำของสหาย
“มิดีหรอกหรือ อย่างน้อยทหารทั้งสองฝ่ายก็ยังได้หายใจต่อไปอีกวัน ข้าใคร่รู้เสียจริงว่าคนกระหายสงครามเช่นนั้นจะมีบางครั้งที่นึกถึงผู้อื่นหรือไม่ ความสุขของเขาอยู่ที่ใด หรือเพียงแค่เห็นผู้คนล้มตายก็พอใจแล้ว”
เทียนหรานมองดูคนตัวเล็กซึ่งบัดนี้นางกำลังยืนหันไปทิศทางของค่ายศัตรู โดยหารู้ไม่ว่าผู้ที่เอ่ยถึงนั้นนั่งอยู่มิไกลจากนางเลย
แต่ก็นั่นแหละจะมีผู้ใดคิดว่าท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จะลดเกียรติปลอมตัวเป็นคนสติมิดี เพื่อสืบข่าวจากอีกฝ่ายกัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นกระทันหันในยามที่พบกับหาญสวี่ เทียนหรานจึงต้องตามน้ำกับการแสดงของตน
“จะเป็นคนเช่นใดได้ขอรับ ฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กตัวน้อยที่พึ่งลืมตา คนเช่นนี้หากตายไปคงมีแต่คนจะสมน้ำหน้า มิรู้จะมีคนเซ่นไหว้อาหารให้กินหรือไม่”
หาญสวี่ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง ซึ่งเทียนหรานได้ยินมันทุกถ้อยคำ แต่เขาก็เพียงแต่ยกยิ้มเท่านั้น เพราะมิคิดว่าเรื่องราวจะเป็นไปในทางนี้ได้
“แต่ในยามนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็นมิใช่หรือว่าท่านอ๋องสั่ง ข้าได้ยินว่าสกุลหลงถูกปล่อยตัวออกมาก่อน แล้วจึงถูกสังหารภายหลัง อ๋องเทียนหรานจะทำเช่นนั้นไปทำไม ในเมื่อสังการในคุกหลวงของเผ่าก็จบแล้วมิใช่หรือ”
ม่านหลี่เอ่ยถามในสิ่งที่ตนได้ยินมา แต่ยังมิทันได้รับคำตอบใด ด้านนอกก็มีทหารจากต่างแคว้นตั้งท่าจะบุกเข้ามา ทำให้เทียนหรานอดที่จะสงสัยมิได้ว่าผู้ใดกันเป็นคนสั่งการในเรื่องนี้ เพราะได้กำชับแล้วว่าให้รอสิบวัน
“พวกมันบุกมาแล้วขอรับ”
เสียงจากนายกองรายงาน เพียงเท่านั้นแม่ทัพก็สั่งคนของตนเตรียมคันธนู และให้ทหารตีกลองสัญญาณรบให้รับรู้ทั่วกัน คนบนกำแพงวิ่งวุ่นโกลาหลเพราะกำลังตั้งรับกับศึกที่กำลังจะเกิดขึ้น
เทียนหรานมองคนที่ถูกเรียกว่านายน้อยซู นางดึงบางสิ่งออกมาจากเอวเล็ก ซึ่งคราแรกเขาคิดว่ามันคงเป็นมีดสั้น แต่พออีกฝ่ายดึงตรงมุมหัวท้ายออกมา ก็ปรากฏรูปร่างของคันธนู ก่อนจะดึงสายเชือกจากใยไหมเกาะเกี่ยวจนเป็นรูปร่าง เพียงเท่านี้เขาก็เข้าใจได้แล้วว่าผู้ที่ยิงธนูในครานั้นคือสตรีที่ใส่หน้ากากอยู่ในตอนนี้
แต่สิ่งที่เขามิคิดว่าจะได้เห็นอีกอย่างก็คือ ใบหน้าอันงดงามยามที่ม่านหลี่เดินมาถอดหน้ากากนี้ออก เพราะมันคงบดบังการมองเห็นนั่นแหละ
“ม่านหลี่พาอาหรานออกไปจากตรงนี้ที ข้ามิอยากให้เขาเห็นผู้คนล้มตาย อย่างน้อยก็ให้อาหรานของข้าเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา มิเหมือนคนนอกกำแพงนั้นเถอะ”
เทียนหรานเงยหน้ามองคนที่กำลังยืนยิ้มให้ตนอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาสวยงดงามราวภาพวาดนั้นมองมาหาราวกับมันมีไว้ให้เขาเพียงผู้เดียว
“ข้าจะให้คนของเราพาออกไปเองเจ้าค่ะ เจ้าสองคนพาอาหรานออกไป ข้าจะอยู่สู้กับคุณหนูซูฮวา”
“ไม่ไป จะอยู่กับพี่สาว”
เทียนหรานเอ่ยพร้อมกับขยับเข้ามาหาคนตัวเล็ก ซึ่งในยามนี้เขารู้ชื่อของนางแล้ว หากเขาคิดไม่ผิดนางคือบุตรสาวคนโตของสกุลซู ซึ่งเคยเป็นแม่ทัพเก่าแก่ของแคว้นนี้ แต่ต้องสิ้นสุดลงเพราะมิมีทายาทที่เป็นบุรุษเลยสักคน แต่มิคิดว่าจะมียอดหญิงในสกุลมาทดแทน
แต่เพราะมิอาจแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพได้ ซูฮวาจึงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแทน แต่ถึงกระนั้นก็ได้รับความเคารพจากแม่ทัพเผยมิน้อย เพราะเขาเคยติดตามบิดาของซูฮวามาตั้งแต่หนุ่ม จึงได้เห็นความสามารถของสตรีนางนี้ดี
“พวกมันเข้าเขตมาแล้วขอรับ”
“จัดการตามแผนที่วางไว้”
เสียงจากแม่ทัพดังขึ้น พร้อมกับซูฮวาที่หันไปเป่าปากเรียกฝูงนกอินทรีย์ที่มีอยู่ถึงห้าตัว นางเอาธนูคล้องตนเองไว้ ก่อนจะยื่นแขนออกไปรับนกของตนให้เกาะลง โดยมีสายตาของเทียนหรานที่นั่งมองราวกับมิเชื่อสายตาตน
“ข้าฝากพวกเจ้าจัดการทีนะ”
เสียงหวานเอ่ยกับสัตว์เลี้ยงของตน ก่อนจะมีคนมาผูกบางอย่างที่ขาของพวกมัน หลังจากนั้นก็บินออกไปตามทิศทางที่ข้าศึกกำลังบุกมา มือเรียวขาวจับคันธนูออกมาอีกครั้ง แล้วเล็งไปยังฝูงนกที่บินอยู่ใกล้กับกลุ่มทหารนั้น
นิ้วเล็กปล่อยคันศรออกไปในทันทีเมื่อเห็นว่าพวกมันอยู่ถูกจุดแล้ว เทียนหรานลุกขึ้นยืนจนพ้นขอบกำแพง เขามองตามศรที่พึ่งพุ่งออกไปจนมันมองมิเห็นแล้ว แต่สิ่งที่ปรากฏในเวลาต่อมาก็คือบางสิ่งที่ถูกมัดไปนั้นแตกออก
ดูเหมือนจะเป็นละอองบางอย่างฟุ้งกระจายไปตามลม ทำให้เหล่าทหารนั้นหยุดชะงักในทันที คงเป็นเพราะมันมีกลิ่นบางอย่างซึ่งทุกคนก็พอจะรู้ว่าสิ่งนี้จะดึงดูดอะไร
อาการตื่นกลัวทำให้ผู้เป็นนายอย่างอ๋องซานเหรินถึงกับหัวเสีย
หลังจากได้รับรายงานว่าอ๋องผู้น้องแอบเข้าไปในเมืองแล้วมิกลับออกมา เขาผู้ซึ่งรออยู่ที่เมืองใกล้ๆ จึงรีบมาบัญชาการต่อทันที โดยมิทันได้แจ้งข่าวกับฝั่งนี้ให้รู้กัน
เพราะมีคนของเทียนหรานอยู่มาก จึงจำต้องแสร้งทำเป็นบุกเข้าตีเมือง และยังส่งคนไปรายงานยังเมืองหลวงว่าเทียนหรานนั้นถูกจับเอาไว้ภายใน เขาอยากได้ความดีความชอบเสียเอง เพื่อจะได้กุมอำนาจทางทหารอย่างน้อยสักครึ่งก็ยังดี เผื่อวันข้างหน้าจะได้ทำการใหญ่ได้สำเร็จ จนลืมระวังตัวเพราะยามนี้เขาอยู่บนสนามรบในฐานะของอ๋องเทียนหราน
“พวกเจ้าตื่นกลัวสิ่งใด รีบบุกเข้าไปเดี๋ยวนี้”
“ท่านอ๋องสิ่งที่มันโปรยลงมาเป็นกลิ่นที่ผึ้งชอบพะย่ะค่ะ กระหม่อมว่าอีกไม่กี่อึดใจคงมีฝูงผึ้งจำนวนมากแห่มาแน่ เราถอยก่อนดีหรือไม่”
“ตัวโตถึงเพียงนี้แต่พวกเจ้าหวาดกลัวพึ่งอย่างนั้นหรือ หากมันบินมาก็ใช้ไฟสู้กับมันสิเจ้าพวกโง่”
ซานเหรินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ซึ่งทหารนั้นต่างก็รีบทำตาม ด้วยการหันไปหาเศษไม้เพื่อเอามาก่อไฟ
เพื่อไล่ฝูงผึ้งที่อีกไม่นานคงมาตามกลิ่น การกระทำทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของผู้ที่อยู่บนกำแพง
“พวกมันคิดจะสร้างควันไล่ผึ้งขอรับ”
หาญสวี่เอ่ยขึ้น ในขณะเดียวกันเทียนหรานก็คิดในใจ
“ยังถือว่าคนนำทัพฉลาดอยู่บ้าง หึ!เจ้าจะจัดการต่อไปเช่นไรเด็กน้อย ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะต้านทัพข้าได้อย่างไร”
เทียนหรานยกยิ้มเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนนั้นยังเป็นต่อ และมีความคิดที่ดีในการออกศึกโดยมิมีเขานำ ยามนี้รู้แล้วว่ามือธนูเป็นใคร และยังได้เห็นอาวุธที่อีกฝ่ายใช้ รวมถึงกลศึกที่แคว้นนี้ใช้ป้องกันเมือง เพียงเท่านี้เขาก็มิจำเป็นต้องอยู่ต่อแล้ว แต่คงต้องรอให้ทัพนั้นบุกเข้าเมืองมาเสียก่อน
เพราะเขาอยากได้อาวุธและเจ้าของนั้นกลับไปด้วย เสียงทหารโห่ร้องเพื่อจะบุกเข้ามาดังกังวาล แต่ด้านในก็มิมีผู้ใดตื่นกลัวสักนิด แม้ฝ่ายนี้จะมีทหารน้อยกว่า ตรงนี้เขายังแปลกใจอยู่ว่าไยถึงมิมีทัพเสริมเลย เพราะที่สังเกตดูทหารด้านล่างและข้างบนรวมกันยังมิถึงหมื่น จะสู้กับทหารนับแสนได้เช่นไร
“หรือทัพเสริมยังมามิถึงกันนะ”
เทียนหรานคิดในใจ ก่อนจะถูกดึงให้มานั่งอยู่ตรงมุม เพราะพลธนูเริ่มตั้งแถวบนกำแพงแล้ว เขามองดูแม่ทัพเผยออกคำสั่ง ซึ่งมีซูฮวายืนอยู่มิใกล้ มือเรียวขาวที่ควรจะเย็บปักถักร้อยในเรือนมากกว่าจะมาจับธนูเช่นนี้ มันดูมิสมกับใบหน้าหวานและนัยน์ตาเย้ายวนนั้นเลยสักนิด เขามองท่วงท่าของคนตัวเล็กพร้อมกับยกยิ้ม
“จบศึกเราคงต้องคุยกันยาวเด็กน้อยของข้า”
เทียนหรานนึกคิดในใจอีกครั้ง เพราะในยามนี้เขาทำสิ่งใดมิได้นอกจากท่าทางของคนสติมิดี
“ท่านแม่ทัพทุกอย่างพร้อมแล้วขอรับ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายก่อกองไฟจนควันโขมงแล้ว รอยยิ้มจึงเกิดบนใบหน้างาม จนเทียนหรานนั้นอดที่จะแปลกใจมิได้ เพราะแผนที่จะให้ผึ้งต่อยทัพทหารจนล่าถอยนั้นดูจะไม่เป็นผลเสียแล้ว แต่นางกลับมีรอยยิ้มเสียได้
“อย่ายิงจนตาย เพียงแค่บาดเจ็บพวกมันก็มิมีกำลังแล้ว ตั้งสมาธิให้ดีพลาดก็เริ่มใหม่”
ซูฮวาเอ่ยบอกกับทหาร ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มยิงธนูออกไป เพราะยามนี้พวกตนนั้นหันไปในทิศตะวันออก ทำให้สายตากระทบกับแสงแดดจนมองมิชัด
ซึ่งคราแรกเทียนหรานก็นึกกระหยิ่มใจกับข้อนี้ แต่พอเห็นควันไฟและกองทหารวิ่งออกมาพ้นขอบเขตนั้น ก็เข้าใจได้ทันทีว่าทั้งหมดมันเป็นแผนที่ถูกวางไว้แล้ว
“ข้าประมาทเจ้าเกินไป ใช้ควันไฟบดบังแสงแล้วยังทำให้เห็นเป้าที่วิ่งออกมาง่ายอีก หากคนของข้ามิก่อกองไฟ ก็ใช้ผึ้งจัดการแทน เจ้านี้ช่างฉลาดเหลือเกินซูฮวา”
เทียนหรานคิดในใจพร้อมกับสายตามาดร้ายมองสตรีตรงหน้า ซึ่งยามนี้ดูมิต่างจากบุรุษที่มีใจห้าวหาญรักบ้านเมือง และเขามิเคยพบเจอสตรีเช่นนี้มาก่อน
#ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ชอบก็กดใจ ไม่ชอบก็กดใจเด้อทุกคน ??