ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจของเธอเผลอเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งเขานั่งใกล้กันกลิ่นแอปเปิลก็ยิ่งชัดเจน มันโชยแตะจมูกเธอจนความคิดฟุ้งซ่านไปหมด
หรือจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญอีกแล้ว สำหรับผู้ชายหน้านิ่งคนนี้
เขายังคงทำหน้าเรียบนิ่งในยามที่นั่งจิบชา และใช้ปลายนิ้วไล้บนหน้าจอไอแพดไปมา มีเรื่องบังเอิญหลายครั้งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับผู้ชายหน้านิ่งที่ชื่อคุณภีม
เธอพึ่งสังเกตว่าเขามักจะเจอเธอตลอด ทั้งในช่วงเช้าก่อนออกจากห้อง หรือในร้านคาเฟ่แห่งนี้
เราทั้งคู่ไม่เคยพูดคุยกัน อาจจะเป็นเพราะลักษณะนิ่งขรึมที่แสดงออกมันทำให้เธอไม่กล้าทักเขา
เธอเลือกที่จะเก็บความสงสัยนี่ไว้ ก่อนจะตักพาสต้าหอยเชลล์ผัดทรัฟเฟิลเข้าปากอย่างอร่อย จนลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองแพ้หอย และไม่รู้เพราะความหิว หรือความตะกละของตัวเองกันแน่ จากที่คิดว่าน่าจะกินไม่หมดแน่ๆ แต่เธอกลับฟาดมันเรียบทั้งสามจาน และคิดว่าจานที่มีหอยเชลล์คือจานที่อร่อยที่สุด พรุ่งนี้ขอสั่งจานนี้อีกดีกว่า
เมื่อทานเสร็จเธอเก็บซ้อนจานให้พนักงานเพื่อที่พี่ๆ จะได้ไม่เสียเวลา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแต่กระเป๋าของเธอกลับหล่นโดยไม่ทันตั้งใจ และนั่นก็ทำให้ลิปสติกของเธอกลิ้งหลุนๆ ไปยังปลายเท้าของคนคนนั้น...
เธอรีบเดินเข้าไปหมายจะเก็บลิปแท่งนั้น แต่เขาคงเร็วกว่าที่คว้ามันขึ้นมาตัดหน้าเธอไปแบบฉิวเฉียด
คนตัวเล็กชะงักไปเพราะยังอยู่ในท่านั่งก้มตัวอยู่บนพื้น จนต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเขา...
เป็นครั้งเลยที่เธอได้มองหน้าเขาได้ชัดขนาดนี้ ดวงตาเขาเป็นสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูนั้น...
อ่า... ทำไมเขาถึงหน้าตาดีได้ขนาดนี้กันนะ
"นี่ของน้องครับ" น้ำเสียงทุ้มต่ำติดจะสุภาพของเขาเอื้อนเอ่ยขึ้น ดวงตาคู่คมนั้นก็หลุบมองเธออย่างพิจารณาไม่ต่างกัน
"อ่า ขอบคุณค่ะ" เธอลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบลิปสติกที่เขายื่นมาให้ตรงหน้า
ปลายนิ้วของเธอสัมผัสกับมือเขาเพียงแผ่วเบา แต่ก็ยังรู้สึกถึงกระแสไฟที่แล่นผ่านกัน
คนคนนี้มีอิทธิพลต่อเธอมากเกินไป ยิ่งอยู่ใกล้กันแบบนี้กลิ่นแอปเปิลก็ยิ่งชัดขึ้นเท่านั้น มันทำให้เธออดคิดไปไม่ได้ว่าเขาคือคนในความลับของเธอหรือเปล่า
ในหัวมันเอาแต่ตีรวนไปจนหมด อยากรู้ใจจะขาดว่าคุณภีมกับคนคนนั้นใช่คนเดียวกันอย่างที่เธอสงสัยหรือเปล่านะ
"พี่นินคะ ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงนั้นชื่ออะไรเหรอคะ" เธอรีบเข้าไปกระซิบถามพี่พนักงานตรงเคาน์เตอร์ เพราะเมื่อกี้ดูเหมือนพี่นินจะพูดคุยอย่างสนิทกับเขาคนนั้น
"เอ่อ... น้องอัยย์ถามพี่ทำไมเหรอคะ"
แต่พี่นินกับทำตาโตใส่พร้อมกับสีหน้าที่เลิ่กลั่กอย่างกับเธอถามคำถามต้องห้ามเสียอย่างนั้น
เธอได้แต่บอกเหตุผลอันน้อยนิดที่คิดได้ในตอนนั้นออกไป
"อ่า พอดีเขาอยู่ห้องตรงข้ามกับอัยย์น่ะค่ะ เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้เคาะเรียกเขา แบบว่ากรณีฉุกเฉินน่ะค่ะ" เธอหัวเราะแห้งๆ ตอบกลับพี่นินไป และนั่นก็ทำให้พี่นินพยักหน้ารับ
แต่ถึงอย่างนั้นพี่นินก็กวักมือให้เธอยื่นหูเข้าไปใกล้ก่อนจะกระซิบบอกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับกลัวใครได้ยินนั่นแหละ
"คนนั้นเขาชื่อ 'คุณภีม' น่ะค่ะ โสดสนิท โสดมากเลยค่ะ ถ้าน้องอัยย์อยากรู้จัก ลองเดินเข้าไปทักเขาดูดีไหมคะ พอดีคุณภีมเขาเป็นคนขี้เขินมากๆ"
ขี้เขินมากๆ งั้นเหรอ... แบบนี้ยิ่งไม่ค่อยกล้าเข้าไปทักนี่สิ ถ้าเขาไม่ตอบเธอเสียหน้าแย่เลย
"อย่าดีกว่าค่ะ ดูเหมือนเขากำลังยุ่ง..." เธอส่ายหน้าเบาๆ เขาเหมือนจะยุ่งกับการพิมพ์งานของเขา เธอไม่อยากกวนเวลางานเลยเลือกที่จะไม่เข้าไปทำความรู้จักดีกว่า
"เสียดายจังเลยเนอะแบบนั้น"
พี่นินทำท่าทางเสียดายแทนเธอ หรือเสียดายแทนใครกันแน่ก็ไม่รู้นี่สิ
"งั้นอัยย์จะกลับแล้วนะคะ ฝากขนมให้เขาด้วยนะคะพี่" เธอยื่นถุงขนมให้พี่นินเพื่อฝากไว้ให้กับคนในความลับของเธอ
แต่ก่อนออกจากร้านนั้นกลิ่นน้ำหอมกลิ่นแอปเปิลของเขามันหลอกหลอนเข้ามาในจมูกอีกครั้งจนต้องเลื่อนสายตาไปมองเขาอีกครั้งอยากห้ามความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
และร่างสูงคงรู้ว่ามีใครมองอยู่ เขาจึงได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ...
ราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ลมหายใจของเธอสะดุด และไม่รู้ว่าเผลอทำสีหน้าแบบไหนไปให้เขาอีกฝ่ายถึงได้กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้เธอได้สติรีบเบือนหน้าออกจากใบหน้าหล่อๆ นั้นก่อนจะรีบผลักประตูร้านออกไปทันที
เมื่อกี้ถ้าตาไม่ได้ฝาดไปเขายิ้มให้เธอด้วย เขายิ้มจริงๆ และเป็นรอยยิ้มที่ดูดีมากเสียจนติดในดวงตาของเธอ
ตกดึกของคืนนั้น...
คนตัวเล็กนอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง มือยกขึ้นเกาต้นคอของตัวเองจนแดงเป็นผืนไปหมด ความคันบนผิวมันเริ่มเพิ่มขึ้นจนนอนไม่หลับ
"อื้อ~ คันจัง..." เธอนอนไม่ได้อีกต่อไปได้แต่ตื่นขึ้นมาก่อนจะรีบเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อดูว่าอะไรกัดเธอหรือเปล่าถึงได้คันเกือบทั้งตัวแบบนี้
แต่เมื่อมองกระจกที่สะท้อนร่างของตัวเองในตอนนี้ก็ต้องเบิกตาโพลง เพราะมันเต็มไปด้วยผื่นคันเต็มไปหมด
เธอกินหอย... และตอนนี้อาการแพ้กำลังแสดงผลโดยการเป็นผื่นแดงและคันแบบนี้
เธอรีบไปค้นหายาที่คิดว่ามีอยู่ แต่หายังไงก็หาไม่เจอ ถ้าเธอได้ทานยาแก้แพ้อาการคันก็จะดีขึ้น เธอไม่ได้แพ้มากถึงขั้นหายใจไม่ออก อาการแพ้มันจะกำเริบโดยการเป็นผื่นคันจากการเป็นลมพิษ
เธอมองไปยังนาฬิกาที่บอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง และร้านยาใต้หอก็ปิดแล้วด้วย แบบนี้จะไปเอายาแก้แพ้และยาทาผดผื่นได้จากที่ไหน...
คนตัวเล็กยกสายโทรหาเพื่อนสนิทแต่ยัยข้าวฟ่างดันปิดเครื่องโทรศัพท์ และกรณีที่ยัยห่างปิดโทรศัพท์มีอยู่กรณีเดียวคือยัยนี่กำลังติดพันกับผู้ชาย เธอเลยวางโทรศัพท์ลงบนเตียงเพราะต่อให้โทรหาเพื่อนอีก ยัยฟ่างคงไม่รับสายเธอหรอก
แล้วแบบนี้เธอจะไปหายาได้จากที่ไหน ยิ่งดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ร้านยาส่วนใหญ่ก็ปิดแล้วนี่สิ
หรือเธอต้องไปเคาะห้องคุณภีมเพื่อถามหายาดีไหมนะ เผื่อเขาอาจจะมีก็ได้
ไวกว่าความคิดคนตัวเล็กลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะเปิดประตูห้องตัวเอง แล้วตรงดิ่งไปยังห้องตรงกันข้ามทันที เธอยืนอยู่หน้าห้องเขาเกือบหนึ่งนาที สูดหายใจเข้าปอดหนักๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะทำการยกหลังมือขึ้นเคาะประตูห้องเขาลงไปสามครั้ง
ก๊อกๆ
.
.