ตอนที่ 1 ภริยาตัวแสบ ทะเบียนสมรสชื่อ
ฤกษ์งามยามดี เก้าโมงเก้านาที ปลายปากกานักธุรกิจหนุ่มจรดลงบนแผ่นกระดาษ สีขาวอย่างรวดเร็วเสมือนชีวิตเร่งรีบและไม่มีเวลามากพอที่จะนั่งอยู่ตรงนี้
ก่อนที่กระดาษสีขาวแผ่นนั้นจะถูกเลื่อนมาหยุดตรงหน้านักศึกษาสาวปีสี่ หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย ถอนหายใจพรืดยาวหยิบปากกาที่วางอยู่ตรงหน้า กลั้นหายใจ จรดลายเซ็นชื่อตัวเองลงบนกระดาษให้สมบูรณ์
ใบสำคัญการสมรส
แสดงว่า
นายเตชินท์ ก้องวัฒนะกุล
กับ
น.ส.เกวลิน ภัททกิจโภคิน
ได้จดทะเบียนสมรส
ณ สำนักทะเบียน เขตบางรัก
จังหวัด กรุงเทพมหานคร
เลขทะเบียนที่ ๙๙๙/๙๙๙๙๙
เมื่อวันที่ ๖ เดือน มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๘
“แสดงความดีใจด้วยนะครับ คุณทั้งสองได้เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว”
“คุณแม่ต้องการ แค่นี้ใช่ไหมคะ?” เกวลินหรือเกล นักศึกษาสาวปีสี่คณะบริหารธุรกิจ มหา’ลัย K แหงนหน้ามองมารดา พลันเอ่ยถามด้วยใบหน้าติดหงุดหงิดปนอารมณ์เสีย
“ยังจ้ะ” คุณหญิงภริตาตอบกลับลูกสาวด้วยรอยยิ้มกว้างที่แฝงไปด้วยความร้ายกาจ เพียงแค่รู้จักนิสัยลูกสาวที่ตนเองเลี้ยงมาเองกับมือ
“อะไรอีกล่ะคะคุณแม่” เกวลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าปลงตก ณ เวลานี้ เธอแทบอยากตื่นจากฝัน ฝันที่กำลังทำร้ายชีวิตอันแสนสดใสของตัวเอง
“ผู้ใหญ่คุยกันเอาไว้ หนูต้องเปลี่ยนนามสกุลไปใช้ของสามี” คุณหญิงภริตาตอบกลับลูกสาวด้วยน้ำเสียงรื่นหูสำหรับคนภายนอก แต่สำหรับเกวลินน้ำเสียงนี้คือน้ำเสียงปีศาจที่ไม่สามารถขัดใจได้ แม้แต่บิดาของเธอก็ไม่สามารถขัดหรือช่วยเหลืออะไรได้เลย
“ไม่เอาหรอกค่ะ ทำไม? ต้องเปลี่ยน ในเมื่อหนูยอมจดทะเบียนให้แล้ว” เกวลินค้านหัวชนฝา ทำไม? เธอต้องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลคนอื่นด้วยไม่ทราบ
“แต่แม่ก็ยอมรอให้ลูกเรียนจบ ไม่จัดงานแต่ง ไม่ประกาศให้ใครรู้ ตามความต้องการของลูก และเรื่องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามี เกลก็ต้องตามใจแม่เหมือนกัน”
“คุณแม่” เกวลินอุทานเสียงหลง ไม่คิดว่ามารดาจะใช้ไม้แข็ง จนเธอหมดหนทางต่อรอง
“ไปเปลี่ยนนามสกุล ไม่อย่างงั้น....” คุณหญิงภริตาที่เห็นว่าลูกสาวตัวเองยังคงถ่วงเวลา จึงรีบเร่งด้วยวิธีของตัวเองอีกครา
“โอเคค่ะ ไปตรงไหนคะ?” เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงและแววตาจริงจังของมารดา เกวลินจึงทำได้เพียงตามน้ำและตามใจมารดาไปก่อน หลังจากนี้คงหาวิธีแก้ไขทีหลัง หากขืนยังคงขัดขืนในเวลานี้มีหวังวันนี้คงไม่ได้ออกจากเขตแน่นอน
ใช้เวลาเพียงไม่นาน เกวลินเดินมาพร้อมกับใบเปลี่ยนนามสกุลและบัตรประชาชนใบใหม่ ยื่นให้กับมารดาตนเองได้เห็นเป็นประจักษ์
“นางสาวเกวลิน ก้องวัฒนะกุล คล้องจองกันมากลูก” คุณหญิงภริตาอ่านชื่อจริงและนามสกุลใหม่ของลูกสาว ดั่งคนอารมณ์ดี พลันเอ่ยชมด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและไม่ลืมที่จะยื่นบัตรประชาชนใบใหม่ของเกวลินให้กับคุณหญิงมานีญามารดาของเตชินท์เพื่อนสนิทตนเองได้ดู
“พอใจแล้วใช่ไหมคะ? ขอบคุณที่ยังเมตตาให้นักศึกษาปีสี่อย่างหนู ยังคงใช้คำนำหน้าว่า นางสาวได้อยู่” เกวลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงและประโยคประชดประชันมารดาตัวเอง
ซึ่งดูเหมือนคุณหญิงภริตาไม่ได้สนใจในประโยคคำพูดของลูกสาวตนเองมากนัก แต่คุณหญิงภริตากลับหันไปคุยกับลูกเขยป้ายแดงด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงอบอุ่น จนเกวลินแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำ
“เตชินท์ หลังจากนี้แม่ฝากดูแลน้องด้วยนะลูก”
“ครับ” เตชินท์นักธุรกิจหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่นาน ตกปากรับคำแม่ยายตัวเองด้วยน้ำเสียงสุภาพ ท่าทางสุขุม จนคุณหญิงภริตาอดชื่นชมไม่ได้
“เฮ้อ! หนูดูแลตัวเองได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องฝากชีวิตเอาไว้กับใคร” เกวลินที่เห็นรอยยิ้มของมารดาตัวเอง รีบพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่ดูมั่นใจ เพราะชีวิตของเธอไม่เคยต้องพึ่งพาใคร นอกเสียจากเงินของบิดาและมารดาเท่านั้น
“ต้องฝากสิจ๊ะ หลังจากนี้ เตชินท์จะดูแลทุกอย่างเกี่ยวกับหนูเกว แม้กระทั่ง เรื่องเงิน หนูต้องขอจากพี่เขานะลูก”
“นี่คุณแม่ ตัดหางเกลปล่อยวัดเหรอคะ” เกวลินเบิกตาโตด้วยความตกใจ คำพูดของมารดาเสมือนต้องการตัดหางเธอปล่อยวัดก็ไม่ปาน
“ไม่ขนาดนั้นลูก ตอนนี้หนูมีสามีแล้ว หลังจากนี้สามีหนูต้องดูแลสิ”
“แต่หนูยังเป็นลูกของคุณแม่นะคะ”
“รู้ ถ้าคิดถึงบ้าน กลับบ้านเราได้เสมอ” คุณหญิงภริตาตอบกลับเกวลินด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แม้ว่าตอนนี้ลูกสาวจะมีคนดูแล แต่ไม่ว่ายังไง เกวลินก็ยังคงเป็นลูกสาวของเธอวันยังค่ำ
“หนูต้องย้ายไปอยู่กับลุงคนนี้เหรอคะ” เกวลินชี้ไปยังเตชินท์ที่นั่ง อ่านเอกสารการประชุมวันนี้ผ่านหน้าจอมือถือ
“เอ๊ะ! นี่ยายเกว” คุณหญิงภริตารีบเก็บมือเกวลินที่กำลังชี้ไปทางเตชินท์ทันที เพราะเกรงพฤติกรรมไม่น่ารักของลูกสาวจะพลันให้เตชินท์และมานีญาเอือมระอา
“หนูเกวก็พูดถูกนะเธอ อายุห่างกันตั้งเก้าปี เรียกลุงก็คงไม่แปลก” คุณหญิงมานีญามารดาของเตชินท์เอ่ยสมทบเกวลิน เห็นด้วยไม่น้อยกับสรรพนามที่เกวลินเอ่ยเรียกสามีป้ายแดง
“เสร็จธุระแล้ว ผมขอตัวครับ” เตชินท์ยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เต็มความสูง เสียงทุ้มเอ่ยถามมารดาตนเอง
“เตชินท์จะรีบไปไหนลูก” คุณหญิงมานีญาเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น หวังจะชวนลูกชายไปหากาแฟทานด้วยความคิดถึง
เนื่องจากภาระงานที่เยอะจนทำให้เตชินท์แทบไม่มีเวลากลับมาที่บ้านใหญ่ จนเธออดที่จะคิดถึงและเป็นห่วงลูกชายไม่ได้ แต่ หลังจากนี้คงเบาใจไม่น้อย หากได้เกวลินคอยอยู่ดู
“ผมมีประชุมที่บริษัทครับ” เตชินท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ จัดแจงสูทตนเองให้เรียบร้อย และกำลังจะก้าวขาเดินออกจากสำนักงานเขต กลับต้องหยุดเดินและหันกลับมาหามารดาอีกครา
“เตชินท์ เดี๋ยวสิลูก”
“ครับ”
“ทางไปบริษัทกับมหา’ลัยหนูเกล ทางเดียวกัน แวะไปส่งน้องหน่อยสิลูก” คุณหญิงมานีญาเพียงแค่อยากให้เตชินท์และเกวลินใช้เวลาอยู่ด้วยกัน จึงรีบเสนอแนะให้ทั้งสองได้ทำความรู้จักกันคร่าว ๆ เพราะเย็นนี้ไม่ว่ายังไง? ทั้งคู่ก็ต้องได้ใช้ชีวิตด้วยกันอยู่ดี
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะคุณป้า เกลไปเองได้ค่ะ” เกวลินรีบแย้งขึ้นทันที หากเวลานี้เธอยังไม่พร้อมอยู่ใกล้สามีป้ายแดงของตัวเองสักเท่าไรนัก
“เรียกป้าได้ยังไงกัน ตอนนี้หนูเป็นสะใภ้ป้าแล้วน้า เรียกแม่สิลูก”
“แต่ ค่ะคุณแม่ ไม่เป็นไรเลยค่ะ” เกวลินพยายามปฏิเสธ แต่เพียงแค่ได้สบตาออดอ้อนของคุณหญิงมานีญา กลับต้องตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้
“ให้พี่เขาไปส่งดีแล้ว”
“ได้ครับ งั้นรีบไป” เตชินท์ตอบกลับมารดาด้วยน้ำเสียงสุภาพ พลันเหลือบไปมองหน้าเกวลินและรีบเร่งให้เธอเดินตามตนเองไปที่รถยนต์
“หนูมีเรียนสิบเอ็ดโมงไม่ใช่เหรอ? รีบไปสิ” คุณหญิงภริตาที่ทราบตารางเรียนของลูกสาวเป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยถามเร่งให้เกวลินติดรถไปกับเตชินท์อีกแรง
“เอางั้นก็ได้ค่ะ” เกวลินพยายามคัดค้าน แต่ดูเหมือนเสียงของเธอไม่ดังสักเท่าไรนัก บวกกับความเร่งรีบให้ทันไปเรียนด้วย จึงต้องพยักหน้ารับแทนการปฏิเสธ
ภายในรถยนต์คันหรูที่มีเตชินท์นั่งประจำที่คนขับดั่งเช่นเคย แต่ ที่แปลกไปจากเดิมคือรถยนต์คันโปรดกลับมีหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่า ภรรยา นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ทำไม? ลุงไม่ปฏิเสธ” เกวลินที่จัดแจงท่านั่งของตนเองเรียบร้อยดีแล้ว หญิงสาวจึงรีบหันไปสนทนากับ สามีป้ายแดง ที่กำลังจะขับรถออกจากสำนักงานเขต
“ลุง?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน พลันทวนสรรพนามที่เกวลินใช้เรียกตนเอง สรรพนามที่รู้สึกแสลงหูกว่าครั้งไหน เพียงแค่ ภรรยาป้ายแดง เป็นคนเอ่ยปากเรียก
“คุณลุงนั่นแหละ แก่กว่าตั้งเก้าปี ดีไม่เรียกว่า พ่อ” เกวลินทิ้งตัวพิงเบาะรถยนต์ท่าทางสบาย
ต่างจาก เตชินท์ที่เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของเกวลินที่ดูเหมือนกำลังแสดงอิทธิฤทธิ์ของตัวเองออกมาให้เห็น
“พ่อ?”
“ร้อนมาก เร่งแอร์หน่อยสิลุง” เกวลินไม่ได้สนใจคำตอบที่ยังไม่ได้จากเตชินท์ แต่กลับเปลี่ยนไปไถมือถือแทน และไม่ลืมที่จะปริปากสั่งเตชินท์ที่กำลังขับรถอยู่
“ใช้” เตชินท์เหลือบมอง ภรรยาป้ายแดง ทวนคำเธอด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและดุดัน จนเกวลินที่ได้ยินน้ำเสียงกลับต้องยิ้มแห้งและหาข้อแก้ตัวน้ำขุ่น
“คุณลุง หนูแค่วานค่ะ”
“ใครลุงเธอ เรียกฉันให้มันดี ๆ หน่อย” คำพูดแสลงหู เริ่มทำให้เตชินท์เอ่ยเตือนเกวลินด้วยเสียงเข้ม
“ทำเป็นดุไปได้ หรือจะให้หนูเรียกว่า สามี ดีคะ” เกวลินขยิบตาใส่เตชินท์ท่าทางทะเล้น โดยไม่ทันสังเกตว่าประโยคของเธอ ทำให้ร่างสูงโปร่งชะงักไปเล็กน้อย
“เฮ้อ!” เตชินท์ทำได้เพียงถอนหายใจพรืดยาว ณ ตอนนี้สมองอันชาญฉลาดของตัวเองมึนตึบไปหมด ไม่คิดมาก่อนว่า ภรรยาป้ายแดง ที่มารดาของตนเองยัดเยียดมาให้ จะมีนิสัยเช่นนี้
“ถึงกับถอนหายใจเลยเหรอคะ? งั้นหลังจากนี้หนูแนะนำให้ลุงซื้อบริษัทยาพารา รอเลย”
“เพื่อ?”
“ลุงอาจจะปวดหัวมากกว่าเดิม”
“ทำตัวดี ๆ อย่าทำให้ฉันปวดหัว” เตชินท์เอ่ยปากเตือนเกวลินเสียงเข้ม หากเป็นดั่งที่เธอกล่าวมา คงจะได้เห็นดีกัน
“ไม่รับปาก” เกวลินยักไหล่ข้างขวาขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้สนใจคำเตือนของเตชินท์แม้แต่น้อย จนกระทั่ง คำขู่ที่ทำให้เกวลินต้องเลิ่กลั่กไปเล็กน้อย
“ไม่งั้นเธอจะถูกหักค่าขนม”
“เหอะ! คิดว่าหนูกลัวเหรอ”
“หรือกล้า?” เตชินท์เลิกหางคิ้วขึ้น เอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงและท่าทางนิ่งเฉย ไร้ท่าทางหยอกล้อ
“วู้ย! หนูเรียนจบเมื่อไหร่? เราหย่ากันทันที” หากเธอเรียนจบและหาเงินใช้ด้วยตัวเองได้ แน่นอนว่าเธอ ต้องการหย่าทันที
“แต่ครอบครัวอยากให้จัดงานแต่ง” เตชินท์ขมวดคิ้วเข้ม พลันเตือนความต้องการของผู้ใหญ่ให้เกวลินทราบ
“โธ่ ๆ ลุง ทำไมน่าสงสารแบบนี้ อยู่มาจนอายุปูนนี้ ทำไม? ไม่มีปัญญาหาเมียเอง ดูสิ? ภาระต้องตกเป็นของหนูเนี่ย”
“ภาระ?” เตชินท์ทวนประโยคของเกวลิน ประโยคที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน จนแทบอยากหยิกแก้มเธอให้หายดื้อ
“จะทวนคำเพื่อ จอดตรงนี้ค่ะ” เกวลินเบะปากใส่เตชินท์ที่ชอบทวนคำตัวเอง เสมือนไม่เข้าใจศัพท์วัยรุ่น พลันชี้นิ้วสั่งให้เตชินท์จอดที่หน้าคณะของตัวเองด้วยท่าทางเร่งรีบ
“ฉันไม่ใช่คนขับรถของเธอ” เตชินท์หันขวับมองหน้าเกวลินที่ชอบสั่งตัวเองเสมือนเขาคือคนขับรถของเธอ แต่กลับยอมจอดรถตามพิกัดที่หญิงสาวเอ่ยปากสั่งจนน่าหงุดหงิดใจ
“ขอบคุณคุณสามี ที่มาส่งค่ะ” เกวลินยิ้มร่าเอ่ยปากขอบคุณ สามีป้ายแดง ด้วยน้ำเสียงสดใส และรีบวิ่งลงจากรถยนต์คันหรูไปทันที โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหน้าเตชินท์ที่นั่งนิ่งอยู่ในรถ
“หึ!” นัยน์ตาคมจ้องมองแผ่นหลังบางที่วิ่งเข้าไปในคณะ พลันหัวเราะในลำคอโดยไม่ทราบสาเหตุ ฤกษ์งามยามดี เก้าโมงเก้านาที ปลายปากกานักธุรกิจหนุ่มจรดลงบนแผ่นกระดาษ สีขาวอย่างรวดเร็วเสมือนชีวิตเร่งรีบและไม่มีเวลามากพอที่จะนั่งอยู่ตรงนี้
ก่อนที่กระดาษสีขาวแผ่นนั้นจะถูกเลื่อนมาหยุดตรงหน้านักศึกษาสาวปีสี่ หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย ถอนหายใจพรืดยาวหยิบปากกาที่วางอยู่ตรงหน้า กลั้นหายใจ จรดลายเซ็นชื่อตัวเองลงบนกระดาษให้สมบูรณ์
ใบสำคัญการสมรส
แสดงว่า
นายเตชินท์ ก้องวัฒนะกุล
กับ
น.ส.เกวลิน ภัททกิจโภคิน
ได้จดทะเบียนสมรส
ณ สำนักทะเบียน เขตบางรัก
จังหวัด กรุงเทพมหานคร
เลขทะเบียนที่ ๙๙๙/๙๙๙๙๙
เมื่อวันที่ ๖ เดือน มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๘
“แสดงความดีใจด้วยนะครับ คุณทั้งสองได้เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว”
“คุณแม่ต้องการ แค่นี้ใช่ไหมคะ?” เกวลินหรือเกล นักศึกษาสาวปีสี่คณะบริหารธุรกิจ มหา’ลัย K แหงนหน้ามองมารดา พลันเอ่ยถามด้วยใบหน้าติดหงุดหงิดปนอารมณ์เสีย
“ยังจ้ะ” คุณหญิงภริตาตอบกลับลูกสาวด้วยรอยยิ้มกว้างที่แฝงไปด้วยความร้ายกาจ เพียงแค่รู้จักนิสัยลูกสาวที่ตนเองเลี้ยงมาเองกับมือ
“อะไรอีกล่ะคะคุณแม่” เกวลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าปลงตก ณ เวลานี้ เธอแทบอยากตื่นจากฝัน ฝันที่กำลังทำร้ายชีวิตอันแสนสดใสของตัวเอง
“ผู้ใหญ่คุยกันเอาไว้ หนูต้องเปลี่ยนนามสกุลไปใช้ของสามี” คุณหญิงภริตาตอบกลับลูกสาวด้วยน้ำเสียงรื่นหูสำหรับคนภายนอก แต่สำหรับเกวลินน้ำเสียงนี้คือน้ำเสียงปีศาจที่ไม่สามารถขัดใจได้ แม้แต่บิดาของเธอก็ไม่สามารถขัดหรือช่วยเหลืออะไรได้เลย
“ไม่เอาหรอกค่ะ ทำไม? ต้องเปลี่ยน ในเมื่อหนูยอมจดทะเบียนให้แล้ว” เกวลินค้านหัวชนฝา ทำไม? เธอต้องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลคนอื่นด้วยไม่ทราบ
“แต่แม่ก็ยอมรอให้ลูกเรียนจบ ไม่จัดงานแต่ง ไม่ประกาศให้ใครรู้ ตามความต้องการของลูก และเรื่องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามี เกลก็ต้องตามใจแม่เหมือนกัน”
“คุณแม่” เกวลินอุทานเสียงหลง ไม่คิดว่ามารดาจะใช้ไม้แข็ง จนเธอหมดหนทางต่อรอง
“ไปเปลี่ยนนามสกุล ไม่อย่างงั้น....” คุณหญิงภริตาที่เห็นว่าลูกสาวตัวเองยังคงถ่วงเวลา จึงรีบเร่งด้วยวิธีของตัวเองอีกครา
“โอเคค่ะ ไปตรงไหนคะ?” เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงและแววตาจริงจังของมารดา เกวลินจึงทำได้เพียงตามน้ำและตามใจมารดาไปก่อน หลังจากนี้คงหาวิธีแก้ไขทีหลัง หากขืนยังคงขัดขืนในเวลานี้มีหวังวันนี้คงไม่ได้ออกจากเขตแน่นอน
ใช้เวลาเพียงไม่นาน เกวลินเดินมาพร้อมกับใบเปลี่ยนนามสกุลและบัตรประชาชนใบใหม่ ยื่นให้กับมารดาตนเองได้เห็นเป็นประจักษ์
“นางสาวเกวลิน ก้องวัฒนะกุล คล้องจองกันมากลูก” คุณหญิงภริตาอ่านชื่อจริงและนามสกุลใหม่ของลูกสาว ดั่งคนอารมณ์ดี พลันเอ่ยชมด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและไม่ลืมที่จะยื่นบัตรประชาชนใบใหม่ของเกวลินให้กับคุณหญิงมานีญามารดาของเตชินท์เพื่อนสนิทตนเองได้ดู
“พอใจแล้วใช่ไหมคะ? ขอบคุณที่ยังเมตตาให้นักศึกษาปีสี่อย่างหนู ยังคงใช้คำนำหน้าว่า นางสาวได้อยู่” เกวลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงและประโยคประชดประชันมารดาตัวเอง
ซึ่งดูเหมือนคุณหญิงภริตาไม่ได้สนใจในประโยคคำพูดของลูกสาวตนเองมากนัก แต่คุณหญิงภริตากลับหันไปคุยกับลูกเขยป้ายแดงด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงอบอุ่น จนเกวลินแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองด้วยซ้ำ
“เตชินท์ หลังจากนี้แม่ฝากดูแลน้องด้วยนะลูก”
“ครับ” เตชินท์นักธุรกิจหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่นาน ตกปากรับคำแม่ยายตัวเองด้วยน้ำเสียงสุภาพ ท่าทางสุขุม จนคุณหญิงภริตาอดชื่นชมไม่ได้
“เฮ้อ! หนูดูแลตัวเองได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องฝากชีวิตเอาไว้กับใคร” เกวลินที่เห็นรอยยิ้มของมารดาตัวเอง รีบพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่ดูมั่นใจ เพราะชีวิตของเธอไม่เคยต้องพึ่งพาใคร นอกเสียจากเงินของบิดาและมารดาเท่านั้น
“ต้องฝากสิจ๊ะ หลังจากนี้ เตชินท์จะดูแลทุกอย่างเกี่ยวกับหนูเกว แม้กระทั่ง เรื่องเงิน หนูต้องขอจากพี่เขานะลูก”
“นี่คุณแม่ ตัดหางเกลปล่อยวัดเหรอคะ” เกวลินเบิกตาโตด้วยความตกใจ คำพูดของมารดาเสมือนต้องการตัดหางเธอปล่อยวัดก็ไม่ปาน
“ไม่ขนาดนั้นลูก ตอนนี้หนูมีสามีแล้ว หลังจากนี้สามีหนูต้องดูแลสิ”
“แต่หนูยังเป็นลูกของคุณแม่นะคะ”
“รู้ ถ้าคิดถึงบ้าน กลับบ้านเราได้เสมอ” คุณหญิงภริตาตอบกลับเกวลินด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แม้ว่าตอนนี้ลูกสาวจะมีคนดูแล แต่ไม่ว่ายังไง เกวลินก็ยังคงเป็นลูกสาวของเธอวันยังค่ำ
“หนูต้องย้ายไปอยู่กับลุงคนนี้เหรอคะ” เกวลินชี้ไปยังเตชินท์ที่นั่ง อ่านเอกสารการประชุมวันนี้ผ่านหน้าจอมือถือ
“เอ๊ะ! นี่ยายเกว” คุณหญิงภริตารีบเก็บมือเกวลินที่กำลังชี้ไปทางเตชินท์ทันที เพราะเกรงพฤติกรรมไม่น่ารักของลูกสาวจะพลันให้เตชินท์และมานีญาเอือมระอา
“หนูเกวก็พูดถูกนะเธอ อายุห่างกันตั้งเก้าปี เรียกลุงก็คงไม่แปลก” คุณหญิงมานีญามารดาของเตชินท์เอ่ยสมทบเกวลิน เห็นด้วยไม่น้อยกับสรรพนามที่เกวลินเอ่ยเรียกสามีป้ายแดง
“เสร็จธุระแล้ว ผมขอตัวครับ” เตชินท์ยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เต็มความสูง เสียงทุ้มเอ่ยถามมารดาตนเอง
“เตชินท์จะรีบไปไหนลูก” คุณหญิงมานีญาเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น หวังจะชวนลูกชายไปหากาแฟทานด้วยความคิดถึง
เนื่องจากภาระงานที่เยอะจนทำให้เตชินท์แทบไม่มีเวลากลับมาที่บ้านใหญ่ จนเธออดที่จะคิดถึงและเป็นห่วงลูกชายไม่ได้ แต่ หลังจากนี้คงเบาใจไม่น้อย หากได้เกวลินคอยอยู่ดู
“ผมมีประชุมที่บริษัทครับ” เตชินท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ จัดแจงสูทตนเองให้เรียบร้อย และกำลังจะก้าวขาเดินออกจากสำนักงานเขต กลับต้องหยุดเดินและหันกลับมาหามารดาอีกครา
“เตชินท์ เดี๋ยวสิลูก”
“ครับ”
“ทางไปบริษัทกับมหา’ลัยหนูเกล ทางเดียวกัน แวะไปส่งน้องหน่อยสิลูก” คุณหญิงมานีญาเพียงแค่อยากให้เตชินท์และเกวลินใช้เวลาอยู่ด้วยกัน จึงรีบเสนอแนะให้ทั้งสองได้ทำความรู้จักกันคร่าว ๆ เพราะเย็นนี้ไม่ว่ายังไง? ทั้งคู่ก็ต้องได้ใช้ชีวิตด้วยกันอยู่ดี
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะคุณป้า เกลไปเองได้ค่ะ” เกวลินรีบแย้งขึ้นทันที หากเวลานี้เธอยังไม่พร้อมอยู่ใกล้สามีป้ายแดงของตัวเองสักเท่าไรนัก
“เรียกป้าได้ยังไงกัน ตอนนี้หนูเป็นสะใภ้ป้าแล้วน้า เรียกแม่สิลูก”
“แต่ ค่ะคุณแม่ ไม่เป็นไรเลยค่ะ” เกวลินพยายามปฏิเสธ แต่เพียงแค่ได้สบตาออดอ้อนของคุณหญิงมานีญา กลับต้องตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้
“ให้พี่เขาไปส่งดีแล้ว”
“ได้ครับ งั้นรีบไป” เตชินท์ตอบกลับมารดาด้วยน้ำเสียงสุภาพ พลันเหลือบไปมองหน้าเกวลินและรีบเร่งให้เธอเดินตามตนเองไปที่รถยนต์
“หนูมีเรียนสิบเอ็ดโมงไม่ใช่เหรอ? รีบไปสิ” คุณหญิงภริตาที่ทราบตารางเรียนของลูกสาวเป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยถามเร่งให้เกวลินติดรถไปกับเตชินท์อีกแรง
“เอางั้นก็ได้ค่ะ” เกวลินพยายามคัดค้าน แต่ดูเหมือนเสียงของเธอไม่ดังสักเท่าไรนัก บวกกับความเร่งรีบให้ทันไปเรียนด้วย จึงต้องพยักหน้ารับแทนการปฏิเสธ
ภายในรถยนต์คันหรูที่มีเตชินท์นั่งประจำที่คนขับดั่งเช่นเคย แต่ ที่แปลกไปจากเดิมคือรถยนต์คันโปรดกลับมีหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่า ภรรยา นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ทำไม? ลุงไม่ปฏิเสธ” เกวลินที่จัดแจงท่านั่งของตนเองเรียบร้อยดีแล้ว หญิงสาวจึงรีบหันไปสนทนากับ สามีป้ายแดง ที่กำลังจะขับรถออกจากสำนักงานเขต
“ลุง?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน พลันทวนสรรพนามที่เกวลินใช้เรียกตนเอง สรรพนามที่รู้สึกแสลงหูกว่าครั้งไหน เพียงแค่ ภรรยาป้ายแดง เป็นคนเอ่ยปากเรียก
“คุณลุงนั่นแหละ แก่กว่าตั้งเก้าปี ดีไม่เรียกว่า พ่อ” เกวลินทิ้งตัวพิงเบาะรถยนต์ท่าทางสบาย
ต่างจาก เตชินท์ที่เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดของเกวลินที่ดูเหมือนกำลังแสดงอิทธิฤทธิ์ของตัวเองออกมาให้เห็น
“พ่อ?”
“ร้อนมาก เร่งแอร์หน่อยสิลุง” เกวลินไม่ได้สนใจคำตอบที่ยังไม่ได้จากเตชินท์ แต่กลับเปลี่ยนไปไถมือถือแทน และไม่ลืมที่จะปริปากสั่งเตชินท์ที่กำลังขับรถอยู่
“ใช้” เตชินท์เหลือบมอง ภรรยาป้ายแดง ทวนคำเธอด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและดุดัน จนเกวลินที่ได้ยินน้ำเสียงกลับต้องยิ้มแห้งและหาข้อแก้ตัวน้ำขุ่น
“คุณลุง หนูแค่วานค่ะ”
“ใครลุงเธอ เรียกฉันให้มันดี ๆ หน่อย” คำพูดแสลงหู เริ่มทำให้เตชินท์เอ่ยเตือนเกวลินด้วยเสียงเข้ม
“ทำเป็นดุไปได้ หรือจะให้หนูเรียกว่า สามี ดีคะ” เกวลินขยิบตาใส่เตชินท์ท่าทางทะเล้น โดยไม่ทันสังเกตว่าประโยคของเธอ ทำให้ร่างสูงโปร่งชะงักไปเล็กน้อย
“เฮ้อ!” เตชินท์ทำได้เพียงถอนหายใจพรืดยาว ณ ตอนนี้สมองอันชาญฉลาดของตัวเองมึนตึบไปหมด ไม่คิดมาก่อนว่า ภรรยาป้ายแดง ที่มารดาของตนเองยัดเยียดมาให้ จะมีนิสัยเช่นนี้
“ถึงกับถอนหายใจเลยเหรอคะ? งั้นหลังจากนี้หนูแนะนำให้ลุงซื้อบริษัทยาพารา รอเลย”
“เพื่อ?”
“ลุงอาจจะปวดหัวมากกว่าเดิม”
“ทำตัวดี ๆ อย่าทำให้ฉันปวดหัว” เตชินท์เอ่ยปากเตือนเกวลินเสียงเข้ม หากเป็นดั่งที่เธอกล่าวมา คงจะได้เห็นดีกัน
“ไม่รับปาก” เกวลินยักไหล่ข้างขวาขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้สนใจคำเตือนของเตชินท์แม้แต่น้อย จนกระทั่ง คำขู่ที่ทำให้เกวลินต้องเลิ่กลั่กไปเล็กน้อย
“ไม่งั้นเธอจะถูกหักค่าขนม”
“เหอะ! คิดว่าหนูกลัวเหรอ”
“หรือกล้า?” เตชินท์เลิกหางคิ้วขึ้น เอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงและท่าทางนิ่งเฉย ไร้ท่าทางหยอกล้อ
“วู้ย! หนูเรียนจบเมื่อไหร่? เราหย่ากันทันที” หากเธอเรียนจบและหาเงินใช้ด้วยตัวเองได้ แน่นอนว่าเธอ ต้องการหย่าทันที
“แต่ครอบครัวอยากให้จัดงานแต่ง” เตชินท์ขมวดคิ้วเข้ม พลันเตือนความต้องการของผู้ใหญ่ให้เกวลินทราบ
“โธ่ ๆ ลุง ทำไมน่าสงสารแบบนี้ อยู่มาจนอายุปูนนี้ ทำไม? ไม่มีปัญญาหาเมียเอง ดูสิ? ภาระต้องตกเป็นของหนูเนี่ย”
“ภาระ?” เตชินท์ทวนประโยคของเกวลิน ประโยคที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน จนแทบอยากหยิกแก้มเธอให้หายดื้อ
“จะทวนคำเพื่อ จอดตรงนี้ค่ะ” เกวลินเบะปากใส่เตชินท์ที่ชอบทวนคำตัวเอง เสมือนไม่เข้าใจศัพท์วัยรุ่น พลันชี้นิ้วสั่งให้เตชินท์จอดที่หน้าคณะของตัวเองด้วยท่าทางเร่งรีบ
“ฉันไม่ใช่คนขับรถของเธอ” เตชินท์หันขวับมองหน้าเกวลินที่ชอบสั่งตัวเองเสมือนเขาคือคนขับรถของเธอ แต่กลับยอมจอดรถตามพิกัดที่หญิงสาวเอ่ยปากสั่งจนน่าหงุดหงิดใจ
“ขอบคุณคุณสามี ที่มาส่งค่ะ” เกวลินยิ้มร่าเอ่ยปากขอบคุณ สามีป้ายแดง ด้วยน้ำเสียงสดใส และรีบวิ่งลงจากรถยนต์คันหรูไปทันที โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหน้าเตชินท์ที่นั่งนิ่งอยู่ในรถ
“หึ!” นัยน์ตาคมจ้องมองแผ่นหลังบางที่วิ่งเข้าไปในคณะ พลันหัวเราะในลำคอโดยไม่ทราบสาเหตุ