ตอนที่ 9
อยากลืม
เมื่อวางสายจากเพื่อนแล้วปณาลีก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นข้างถนนอย่างไม่สนสายตาใคร เธอปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอย่างหนักด้วยความเสียใจ หัวใจของเธอแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ความรักที่เธอทุ่มเทไปตลอดสามปีที่ผ่านมามันจบลงแล้วจริงๆ
ไม่นานนัก รถของภัทรมนก็ขับมาจอดลงตรงหน้าเธอรีบลงจากรถและตรงเข้ามาสวมกอดเพื่อนด้วยความรู้สึกเห็นใจ
“ไม่เป็นไรนะแก…ไม่เป็นไร” ภัทรมนปลอบโยนพลางลูบหลังปณาลีอย่างอ่อนโยน
ปณาลีร้องไห้ซบกับอกของเพื่อนอย่างหนักจนตัวโยน
“มน…ฉันผิดอะไร…ทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับฉัน” เธอถามทั้งน้ำตาด้วยเสียงที่ขาดห้วง
“แกไม่ได้ผิดอะไรเลยยี่หวาเขาผิดเองที่ทิ้งแกไป ไปที่บ้านฉันก่อนนะ”
ภัทรมนขับรถพาปณาลีมาที่บ้าน ระหว่างทางก็โทรศัพท์ไปหาวนรัตน์
“รัตน์ แกมาที่บ้านฉันได้ไหม”
“มีอะไรหรือเปล่ามน ฉันได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้”
“มาที่บ้านฉันก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกันนะ”
“ฉันจะรับไปนะไม่เกินสิบห้านาทีเจอกัน”
บ้านของภัทรมนและวนรัตน์อยู่ไกลเท่าไหร่การมาเจอกันจึงใช้เวลาไม่นาน
ปณาลียังร้องไห้ไม่หยุดแต่ภัทรมนก็ไม่ได้พูดอะไรเธอปล่อยให้เพื่อนได้ร้องไห้ออกมาเพราะเข้าใจถึงความผิดหวังและเสียใจดี บางคนอาจอยากให้ใครสักคนอยู่ข้างๆ แค่รับฟังโดยไม่ต้องพูดอะไร
เมื่อมาถึงบ้านภัทรมนก็พาปณาลีเข้าไปนั่งในห้องรับแขกหาน้ำและเตรียมทิชชูมาวางไว้ใกล้ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ให้เพื่อนพิงศีรษะลงบนไหล
เสียงเปิดประตูดังขึ้นภัทรมนหันไปมองเมื่อเห็นว่าเป็นวนรัตน์ก็รีบกวักมือให้รีบเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมยี่หวาถึงได้ร้องไห้แบบนี้ล่ะ”
“ก็พี่นนท์น่ะสิ”
“เขาไม่ขอแต่งงานเหรอ แต่ฉันเห็นเขาซื้อแหวนจริงๆ นะพนักงานก็บอกว่าเขาซื้อไปขอแฟนแต่งงาน” วนรัตน์กระซิบกับภัทรมน
“ถ้าแค่ไม่ขอแต่งงานยัยยี่หวาคงไม่ร้องไห้แบบนี้หรอก แต่นี่เขาขอเลิกกับเพื่อนของเราด้วย” ภัทรมนอธิตามที่ปณาลีบอกเธอเองก็ยังไม่ได้ถามอะไรมากเพราะจะรอให้วนรัตน์มาถึงก่อน
“อะไรนะ มันเกิดอะไรขึ้นยี่หวา นี่แกร้องไห้มานานแล้วใช่ไหม ดูสิตาบวมหมดแล้ว”
“พี่นนท์เขาไม่ได้ขอฉันแต่งงานอย่างที่ฉันคิดไว้ เขาบอกเลิกฉัน เขาขอลดสถานะ เป็นแค่พี่น้อง เขาบอกว่าว่าเราไปด้วยกันไม่ได้และตอนนี้เขายังไม่อยากคิดถึงเรื่องความรัก แต่ฉันว่านั่นมันคำโกหก เขาต้องมีคนอื่นแน่” เธอเล่าพร้อมเสียงสะอื้น
“ยี่หวาฉันขอโทษนะ ฉันไม่น่าบอกแกเรื่องแหวนเลย” วนรัตน์รู้สึกผิดมากที่ไปพูดให้เพื่อนมีความหวังทั้งที่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย
“แกไม่ผิดหรอกรัตน์ ถึงแกไม่บอกเรื่องนี้พี่นนท์เขาก็ขอเลิกฉันอยู่ดี”
“ฉันว่าลองคุยกันอีกทีดีไหม ห่างกันสักพักเดี๋ยวพี่นนท์เขาก็รู้ใจตัวเองแล้วกลับมาง้อ” ภัทรมนพยายามจะมองโลกในแง่ดี
“จะบ้าเหรอมน พี่นนท์เขาทำเพื่อนเราเสียใจขนาดนี้เขาจะกลับมาง้อเหรอ ยี่หวาแกอย่าไปฟังยัยมนนะ ถ้าเขากลับมาง้อแกห้ามคืนดีกับเขาเด็ดขาด เจ็บแล้วต้องจำนะแก”
“ฉันคิดว่าเขาคงไม่กลับมาแล้วล่ะ ฉันอยากลืมเขา ลืมเรื่องวันนี้ทั้งหมด” ปณาลีพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด
“แกกับเขาคบกันมานานเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา ช่วงนี้แกก็หาอะไรทำนะจะได้ไม่คิดมาก” ภัทรมนเห็นใจเพื่อนแต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้ยังไงเพราะบาดแผลในใจมันหายยากขนาดเธอเองเลิกกับแฟนมาหนึ่งปีแล้วยังรู้สึกเจ็บและเข็ดจนไม่คิดจะมีความรักอีก ยังดีที่ว่าเธอเป็นครูสอนชั้นอนุบาลเวลาในแต่ละวันเลยอยู่กับเด็กๆ พอกลับถึงบ้านก็หลับเป็นตายเพราะใช้พลังงานไปเยอะ
“แต่ฉันมีวิธีที่จะลืมนะ อย่างน้อยก็คืนนี้แหละ”
“วิธีไหนเหรอรัตน์บอกฉันมาสิ ฉันอยากลืม”
“ไปกินเหล้ากันไงล่ะ เมาให้เต็มที่ไม่ต้องคิดอะไรมากพรุ่งนี้ก็วันหยุดจะตื่นตอนไหนก็ได้ไม่มีใครต้องทำงาน ฉันก็อยากเมาเหมือนกัน” วนรัตน์เสนอ
“งั้นแกสองคนเมาให้เต็มที่เลยนะฉันจะเป็นสารถีให้เอง”
“แต่ฉันไม่อยากไปชุดนี้หรอกนะ ขอกลับไปเปลี่ยนชุดก่อนได้ไหม” วนรัตน์มองกางเกงยีนเสื้อยืดที่ตัวเองใส่มาจากคอนโดแล้วส่ายหน้า
“ไม่ต้องไปหรอกเอาชุดฉันใส่ไปก็ได้ ยี่หวาล่ะอยากเปลี่ยนชุดไหม”
“อือ”
ภัทรมนหาชุดเดรสเกาะอกสีแดงเพลิงมาให้ปณาลีสวม ซึ่งเป็นชุดที่ภัทรมนซื้อมานานแล้วแต่ไม่เคยกล้าใส่ ปณาลีรับชุดมาและเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด หญิงสาวรู้สึกว่าชุดสีขาวเมื่อครู่มันช่างตลกสิ้นดีกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้
เมื่อปณาลีเดินออกมาจากห้องน้ำ ภัทรมนกับวนรัตน์ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ปณาลีในชุดเดรสสีแดงรัดรูปนั้นดูร้อนแรงและเซ็กซี่มากจนพวกเธอไม่เชื่อสายตา
“โห…ยี่หวานี่แกจริงๆ เหรอเนี่ย” วนรัตน์อุทานออกมา
“สวยมากยี่หวา สวยจนฉันอยากจะถ่ายรูปแกเก็บไว้เลย” ภัทรมนเอ่ยชมด้วยความจริงใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปเพื่อนไว้และติดจะเอาลงในไอจีเผื่อใครบางคนผ่านมาเห็นจะได้รู้สึกเสียดาย
ปณาลีมองตัวเองในกระจกด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธอไม่รู้สึกว่าตัวเองสวยเลยแม้แต่น้อย แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูเศร้าหมอง
“ไปเถอะ ฉันอยากเมาแล้ว” ปณาลีบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่สดชื่นเท่าไหร่
“ไปที่ไหนกันดี” คนรับอาสาขับรถหันมาถามความคิดเห็นเพราะเธอไม่ค่อยถนัดเรื่องแบบนี้เท่าไหร่
“ไปผับxxxสิฉันเคยได้ยินคนที่ทำงานไปบ่อย เดี๋ยวฉันบอกเองว่าอยู่ตรงไหน” วนรัตน์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดจีพีเอสจากนั้นก็บอกเส้นทางให้กับภัทรมนจนมาถึงหน้าผับ
บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยแสงสีเสียงที่ดังกระหึ่มกระตุ้นโสตประสาทให้ครึกครื้น ผู้คนออกมาเต้นและดื่มกินอย่างสนุกสนานไม่มีใครสนใจใคร ต่างสนใจแค่ความสนุกของตนเองเท่านั้น ภัทรมนกับวนรัตน์พาปณาลีมานั่งที่โต๊ะที่อยู่ด้านใน
“แกอยากกินอะไร สั่งมาเลยนะ เมาให้เต็มที่เลย”
“อะไรก็ได้ที่แรงๆ” ปณาลีตอบสั้นๆ
“แกคออ่อนเอาเบาๆ ไปก่อนเถอะจะได้สนุกกันนานไงล่ะ” วนรัตน์สั่งค็อกเทลที่มีแอลกอฮอล์มามากให้ปณาลีกับตัวเองและสั่งม็อกเทลให้ภัทรมน
ปณาลีนั่งดื่มค็อกเทลไปสองแก้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกถึงความเมาเลยสักนิด แสงสีเสียงตรงหน้ามาทำให้เธอรู้สึกสนุกเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้หญิงสาวต้องการแค่ความเมาเท่านั้น
“แกฉันกินแบบนี้อีกสิบแก้วฉันก็ไม่เมา แกสั่งอะไรที่มันแรงๆ มาให้ฉันหน่อยได้ไหมรัตน์”
วนรัตน์พยักหน้าก่อนจะเรียกพนักงานเสิร์ฟมาและสั่งวอดก้าเพียวๆ มาให้ปณาลีหนึ่งแก้ว
ปณาลีรับแก้ววอดก้ามาแล้วดื่มรวดเดียวหมดแก้วโดยไม่มีอาการสะทกสะท้านใดๆ ภัทรมนกับวนรัตน์มองหน้ากันด้วยความตกใจเพราะปกติปณาลีเป็นคนดื่มไม่เก่ง
“ยี่หวา แกไม่เป็นไรนะ” ภัทรมนเรียกเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร ฉันแค่อยากเมาจะได้ลืมคนเลวไปซะ” ปณาลีตอบพลางยิ้มเศร้าๆ
เธอขอเหล้าจากเพื่อนเพิ่มอีกหลายแก้วและดื่มมันเข้าไปอย่างต่อเนื่องด้วยความต้องการที่จะลืมเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น