ตอนที่ 5
ปรึกษาได้ เพราะเคยแต่งงานมาแล้ว
บริษัทของศิลาเติบโตอย่างมั่นคงและขยายใหญ่ขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยทีมพนักงานที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ศิลาไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัททุกวันเหมือนเมื่อก่อน เขาสามารถบริหารจัดการงานส่วนใหญ่ผ่านระบบออนไลน์ได้จากที่บ้านในหมู่บ้านจัดสรรอันเงียบสงบแห่งนี้
เย็นวันพุธพระอาทิตย์กำลังใกล้จะตกดิน ศิลาอยู่ในชุดลำลองสบายๆ กำลังรดน้ำต้นไม้อย่างใจเย็นที่สวนหน้าบ้าน เขาถือสายยางฉีดน้ำไปตามกระถางต้นไม้เล็กใหญ่ที่เรียงรายอยู่รอบๆ ใบหน้าคมคายของเขายังคงนิ่งเรียบดูผ่อนคลายกว่าทุกวัน
“สวัสดีค่ะอาศิลา ทำอะไรอยู่คะ” เสียงหวานใสทักทายขึ้นจากรั้วบ้านที่สูงเพียงแค่หนึ่งเมตร
“สวัสดียี่หวา อากำลังรดน้ำต้นไม้ ยี่หวาเพิ่งกลับมาเหรอ” ศิลาตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินมาใกล้
“ค่ะ” ปณาลีตอบสั้นๆ ก่อนจะยกมือที่ถือถุงพะรุงพะรังเต็มสองมือขึ้นมาให้เขาดู
“แล้วนั่นถืออะไรมาเยอะแยะล่ะ ไปทำงานไปช้อปปิ้งกันแน่ล่ะ ถึงได้ซื้อของมาเยอะแยะขนาดนี้” ศิลาถามแล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าเธออยู่ในชุดยูนิฟอร์มทำงาน แต่ในมือกลับมีถุงใส่ของเต็มไปหมด
“ทั้งสองอย่างค่ะ ไปทำงานด้วยพอเลิกงานก็แวะซื้อของด้วยค่ะ ของในตู้หมดไปเยอะเลย ก็เลยซื้อวัตถุดิบมาเพิ่มหน่อย ถ้าอาศิลาไม่มีธุระไปไหนก็มาทานข้าวด้วยกันไหมคะ” ปณาลีตอบด้วยน้ำเสียงสดใสและรอยยิ้มกว้างที่ดูมีชีวิตชีวา
“จะดีเหรอ” ศิลาถามด้วยท่าทีเกรงใจเล็กน้อย
“ดีสิคะ มาทานด้วยกันนะคะ หกโมงครึ่งเวลาเดิมค่ะ” ปณาลีตอบรับอย่างรวดเร็วด้วยความยินดีที่เขาจะมาร่วมมื้ออาหารด้วย
“วันนี้ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะ มีอะไรดีหรือเปล่า” ศิลาอดถามไม่ได้ ท่าทางอารมณ์ดีของเธอทำให้ศิลารู้สึกดีตามไปด้วย
“เปล่าค่ะ ยี่หวาขอไปทำอาหารก่อนนะคะ” ปณาลีส่ายหน้าแต่ก็ยังคงซ่อนรอยยิ้มไม่มิด
“ขอบใจนะ เดี๋ยวอาจะตามไป ให้อาช่วยอะไรไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยี่หวาจะเปิดประตูรั้วไว้นะคะอาศิลาเข้ามาได้เลยไม่ต้องกดออดค่ะ” ปณาลียิ้มก่อนจะเดินกลับไปทางประตูรั้วเปิดมันทิ้งไว้ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“ได้ แล้วเจอกันนะ”
ศิลาล้างมือและเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยหัวใจที่อบอุ่น เขารู้สึกดีใจที่ได้มาร่วมทานอาหารกับสองพี่น้องอีกครั้ง
เมื่อถึงเวลาทานอาหาร ศิลาก็เดินเข้าไปในบ้านตามคำเชิญ เมื่อไปถึงก็เห็นสองพี่น้องกำลังช่วยกันจัดโต๊ะอาหารและคุยหยอกล้อกันอย่างเป็นธรรมชาติ บรรยากาศภายในบ้านของสองพี่น้องยังคงอบอุ่นและเป็นกันเองเหมือนเดิม
“อาศิลามาแล้ว สวัสดีครับ” ปณวัฒน์ที่ทักทายอย่างร่าเริง
“หอมมากเลยนะยี่หวา” ศิลาเอ่ยชมพลางนั่งลงที่เก้าอี้
“วันนี้มีแกงเขียวหวาน ปลาทับทิมทอดแล้วก็ผัดผักรวมค่ะ”
ทั้งสามคนเริ่มทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข บรรยากาศเงียบไปชั่วขณะก่อนที่ปณวัฒน์จะเริ่มชวนคุย
“พี่ยี่หวา วันนี้อารมณ์ดีจังเลย มีอะไรดีหรือเปล่า” ปณวัฒน์แกล้งแซวพี่สาว
“ไม่มีอะไรสักหน่อย” ปณาลีหน้าแดงทันทีเมื่อถูกแซว เธอมองไปที่ศิลาแล้วก็รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ไม่จริงอ่ะ ผมว่าต้องมีอะไรแน่ๆ” ปณวัฒน์ไม่เชื่อ
“ปัณ กินข้าวไปเลย” ปณาลีปรามเสียงดุ
“โอ๋ๆๆ ไม่แกล้งก็ได้ แต่ผมเดานะ ผมคิดว่าที่พี่อารมณ์ดีแบบนี้ต้องเพราะพี่นนท์ต้องขอแต่งงานแล้วแน่ๆ เลย” ปณวัฒน์หัวเราะ
คำพูดของปณวัฒน์ทำให้ปณาลีชะงักไป เพราะไม่คิดว่าน้องชายจะเดาออก เธอเหลือบไปมองศิลาอย่างเกรงใจเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว
“ปัณ” เธอพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยแล้วหันไปทำตาเขียวใส่น้องชาย
“อะไรเล่า ผมพูดความจริงนะพี่นนท์เขาต้องขอแต่งงานแน่ๆ เลย ถ้าพี่นนท์ขอพี่ยี่หวาแต่งงานจริงๆ ผมว่าพี่อย่าเพิ่งตอบตกลงนะครับ”
“ปัณ พูดอะไรเนี่ย พี่” ปณาลีห้ามอย่างร้อนรน ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอาย
“ทำไมถึงห้ามพี่สาวล่ะปัณ” ศิลาถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“ก็พี่นนท์เขาทำงานอยู่สำนักงานใหญ่ในเมือง ผมว่าพี่ยี่หวาต้องแน่ใจก่อนว่าเขาไม่ได้แอบซ่อนใครไว้เพราะทำงานกันคนละที่ ผมจะตามสืบเรื่องนี้เองครับ เพราะมหาวิทยาลัยของผมอยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ ผมจะให้เพื่อนๆ ช่วยผมด้วย”
“อย่าทำตัวไร้สาระน่า พี่ว่าเรื่องนี้เราคุยกันทีหลังดีไหมเกรงใจอาศิลานะ” ปณาลีปรามเสียงดังขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกยี่หวา ไม่ต้องเกรงใจอา ให้คิดว่าอาเป็นคนในครอบครัวก็ได้ มีอะไรปรึกษาอาได้ตลอด” ศิลาบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและจริงใจ
“เห็นไหมล่ะอาศิลายังไม่ว่าอะไรเลย อาศิลาครับถ้าอาเห็นผมเป็นคนในครอบครัวจริงผมอยากถามอะไรอาหน่อยได้ไหมครับ”
“ถามมาเลย”
“อาอายุขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังไม่แต่งงานอีกครับ”
คำถามตรงไปตรงมาของปณวัฒน์ทำให้ปณาลีถึงกับสำลักน้ำ
“ปัณเสียมารยาทไปถามอาศิลาแบบนั้นได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรยี่หวา” เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“อาเคยแต่งงานแล้ว” ศิลาเริ่มเล่า
ปณาลีและปณวัฒน์ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจและนั่งฟังต่ออย่างตั้งใจ
“อากับภรรยาเก่าคบกันมานานหลายปี ก่อนจะตัดสินใจแต่งงานกัน”
ปณาลีกับปณวัฒน์ถึงกับอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน
“อาศิลาไม่ต้องเล่าก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไรอาอยากเล่าให้เราสองคนฟังคร่าวๆ ว่าอาเคยมีครอบครัวมาแล้ว”
“เพิ่งหย่าเหรอคะ”
“เปล่าหรอกอาหย่ามานานสองปีแล้ว ตอนนี้ทำได้ใจและบริษัทเริ่มเข้าที่ก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”
“ผมขอโทษนะครับอาศิลา” ปณวัฒน์บอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกมันก็เป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานแล้ว ที่อาอยากเล่าก็แค่อยากจะบอกว่าก่อนตัดสินใจทำอะไรต้องคิดให้ถี่ถ้วน บางทีเวลาที่คบกันก็ไม่การันตีว่าจะทำให้การแต่งงานมีความสุข การแต่งงานและใช้ชีวิตคู่ไม่ได้มีความรักเพียงอย่างเดียว แต่มันต้องมีความไว้ใจเชื่อใจและความซื่อสัตย์ด้วย” ศิลาเตือนอย่างคนมีประสบการณ์
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบลงทันทีหลังจากที่ศิลาเล่าเรื่องของเขาจบ ปณาลีมองหน้าศิลาด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ดูเย็นชานั้นซ่อนความเจ็บปวดไว้มากมายเพียงใด
“ขอบคุณนะคะที่ให้แง่คิด ยี่หวาเชื่อว่าเดี๋ยวอาก็เจอคนใหม่ที่คู่ควรกับคุณอาจริงๆ” ปณาลีบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความจริงใจ
ศิลาหันมามองหน้าเธอและยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะหนึ่ง
“แต่อาว่าอยู่แบบนี้ก็มีความสุขแล้วนะ อาคงไม่แต่งงานอีกแล้ว”
“แต่อาครับอาจะเหงานะ ถ้าต้องอยู่คนเดียวไปตลอด”
“แต่แบบนี้อาก็มีความสุขดีนะ อาชอบความเป็นอิสระ” ศิลาปิดตายหัวใจและคิดว่าความรักก็แค่เกมเกมหนึ่งเท่านั้น