หลินซูตื่นขึ้นมาในสายของอีกวัน
"อ่ะ เจ็บแขนจัง เมื่อวานใช่แล้วเราถูกคนพวกนั้นทำร้าย แต่มีคนมาช่วยเรานี่ไอ้เจ้าคนป่าเถื่อนนั่น รังแกเราอีกแล้ว แล้วแบบนี้เราจะกลับไปเจอพี่ลู่เหยียนได้ยังไง "
หลินซูที่ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงพูดกับตนเองอยู่เช่นนั้น
" เจ้าตื่นแล้วหรอเด็กน้อย "
"ใครเด็กน้อยกัน ข้าไม่ใช่เด็กแล้วข้าอายุยี่สิบปีแล้ว"
"นั่นสินะเจ้าไม่เด็กแล้วมองไปตรงไหนก็โตออกจะเต็มมือจนล้นด้วยซ้ำ "
ลู่เหยียนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอยอกล้อ แต่คนที่ฟังนั้นอายจนหน้าแดง
"เจ้ามันคนเถื่อน เจ้ารังแกข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า "
"ข้ารังแกเจ้า แต่ดูเหมือนร่างกายของเจ้าจะชอบที่ข้ารังแก เจ้ามากเลยนะ "
หลินซูเมื่อได้ยินอีกคนพูดเช่นนั้นก็เถียงไม่ออกจึงได้แต่เงียบแล้วมองอาหารที่ถูกยกมา
"หิวแล้วสินะมากินเถอะ "
ลู่เหยียนมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดู เพราะตั้งแต่เมื่อวานหลินซูก็ยังไม่ได้กินอะไร
ใบหน้าที่บ่งบอกว่าอยากกินอาหารตรงหน้า นั้นทำให้ลู่เหยียนอดสงสารไม่ได้ หลินซูได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นมากินอาหาร เพราะตนนั้นไม่ได้กินมาตั้งแต่เมื่อวาน และคิดเพียงแค่ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องหากท้องไม่อิ่มจะมีแรงหนีได้ยังไง เมื่อกินจนอิ่มแล้วแม่ทัพลู่เหยียนก็ได้เอ่ยขึ้น
" ข้าจะพาเจ้ากลับเมืองหลวง"
"ข้าไม่ไป ข้าไม่อยากกลับไปแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้รัก หากเจ้าจะบังคับข้าไปก็ฆ่าข้าเสียตรงนี้ให้ตาย"
" เจ้ามีคนรักแล้วจริงๆเช่นนั้นหรือ "
ลู่เหยียนถามออกไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าองค์หญิงเคยบอกว่าตนมีคนรักแล้ว และกำลังจะเดินทางไปหาคนรัก จึงทำให้ลู่เหยียนเศร้าลงทันที
"ใช่ข้ามีคนที่ข้ารักอยู่แล้ว แต่ข้าถูกบังคับให้แต่งงาน ข้าไม่อยากแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้รัก เจ้าเองก็ดูอายุมากพอน่าจะมีครอบครัวแล้ว เจ้าไม่เข้าใจหรือว่าการอยู่กับคนที่ไม่ได้รักมันทรมานแค่ไหน "
หลินซูเอ่ยบอกกับคนตรงหน้า เพราะหวังว่าอีกคนจะสงสารและยอมปล่อยตนไปอีกครั้ง ลู่เหยียนมองคนตรงหน้า แล้วจึงตัดสินใจที่จะเอ่ยถามถึงคนรักของอีกฝ่าย
"คนรักเจ้าเป็นใครอยู่ที่ไหน ข้าจะช่วยตามหาและพาเจ้าไปพบ ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้ารับผิดชอบในตัวของเจ้า "
"เจ้าคิดจะรับผิดชอบข้าเช่นไร พาข้าไปเป็นอนุของเจ้าเช่นนั้นหรือ ข้าเป็นอนุของเจ้าไม่ได้หรอก สามีของข้าต้องมีข้าเพียงผู้เดียว จะต้องไม่มีหญิงใดเข้ามาเกี่ยวข้อง "
ลู่เหยียนยิ้มกับความคิดขององค์หญิง ที่ไม่ว่านานแค่ไหนก็ยังมีความคิดและพูดเช่นนี้เสมอ
เมื่อสิบปีที่แล้ว
" พี่ลู่ถ้าแต่งงานกันแล้วพี่ลู่ห้ามมีอนุ พี่ต้องมีข้าเพียงคนเดียวเข้าใจหรือไม่"
"เราจะแต่งงานกันได้เช่นไร องค์หญิงเป็นองค์หญิงส่วนหม่อมฉันเป็นแค่นายทหาร "
"ไม่รู้ล่ะข้าจะแต่งงานกับพี่ลู่คนเดียว "
ลู่เหยียนนั่งนึกถึงคำพูดขององค์หญิงน้อยแล้วก็มองหน้าคนตรงหน้าที่ตอนนี้เติบโตเป็นสาวงดงามและตอนนี้ยังกลายเป็นของตนไปแล้ว ลู่เหยียนนั่งมองหน้าคนตัวเล็กด้วยสายตาที่ทำให้คนตัวเล็กหัวใจสั่นไหว
" ถ้าเจ้าไม่อยากกลับเมืองหลวง เช่นนั้นเราก็อยู่ที่นี่เจ้าก็อยู่กับข้า ในเมื่อเจ้ายังตามหาคนรักไม่พบ "
"ข้าไม่คิดจะตามหาคนที่ข้ารักอีกแล้ว เพราะอาจเป็นเพียงข้าที่รอคอยเขากลับมา ป่านนี้เขาคงจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ไปแล้ว และเจ้าก็รังแกข้าถึงสองครั้ง สองคราแล้ว ข้าจะมีหน้าไปพบคนที่ข้ารักได้เช่นไร "
หลินซูเอ่ยพร้อมกับน้ำตาไหลออกมา ลู่เหยียนเอื้อมมือเรียวเกลี่ยน้ำตาให้กับคนตัวเล็ก
" ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง ในเมื่อข้าจะช่วยตามหาคนรัก เจ้าก็ไม่ต้องการตามหาแล้ว ต่อไปเจ้าคิดจะทำเช่นไรให้ข้าดูแลเจ้าเถอะนะ ข้าไม่มีใครข้ายังไม่ได้แต่งงาน ข้าไม่เคยคิดที่จะแต่งงานจนมาเจอเจ้า เจ้าจะแต่งงานกับข้าไหม ตอนนี้เจ้าอาจจะยังไม่รักข้า แต่ข้าเชื่อว่าข้าจะทำให้เจ้ารักข้าได้แน่นอน "
ลู่เหยียนเอ่ยออกไป เพราะถึงคนตัวเล็กจะปฏิเสธแต่ตนก็ไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน หลินซูนิ่งเงียบและกำลังคิด หากตนอยู่กับชายผู้นี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับชายผู้นี้ในวันข้างหน้า ชายผู้นี้เป็นใครกัน หลินซูจึงคิดจะเอ่ยถามว่าคนตรงหน้านี้เป็นใครกันแน่
" ก็อก ก็อก"
เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน
"มีอะไร เดี๋ยวข้าออกไป "
ลู่เหยียนที่ยังไม่ได้บอกกับ หยุนจือว่าอย่าเรียกตนว่าแม่ทัพ จึงรีบออกไปบอกกับคนของตนก่อนที่อีกคนจะรู้ เมื่อพูดคุยกับคนสนิทเข้าใจแล้ว ลู่เหยียนจึงกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก็เห็นว่าคนตัวเล็กนั้นหลับไปแล้ว
"เหมือนจะมีไข้ พี่คงจะรุนแรงกับเจ้ามากไป "
มือเรียวเกลี่ยแก้มคนนอนหลับ
"ต่อไปพี่จะดูแลเจ้าเอง ขอโทษที่หนีหายไปถึงเจ็ดปีตอนนี้พี่กลับมาแล้วนะ และพี่ก็ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นตำแหน่งนี้คงจะสามารถสู่ขอเจ้าได้ไม่ยาก "
ลู่เหยียนเอ่ยกับคนที่หลับไปแล้ว พรางนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของตนและคนตัวเล็ก ในตอนนั้นที่ตนเป็นเพียงแค่นายกองเล็กๆ จึงไม่อาจคิดตีตัวเสมอกับองค์หญิงแม้ในใจจะรู้สึกรักใคร่เอ็นดู แต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นเพียงความรู้สึกที่พี่มีต่อน้องเท่านั้น เพราะองค์หญิงและตนนั้นอายุต่างกันถึงเก้าปี จึงไม่คิดว่าตนจะพอใจองค์หญิงตัวน้อย จึงได้คิดแต่เพียงทำศึกให้ชนะเท่านั้น แต่เมื่อรู้ว่าองค์หญิงน้อยถูกจับให้แต่งงานก็รู้สึกใจหาย
และเมื่อได้ยินว่าองค์หญิงน้อยของตนหนีการแต่งงาน จึงรีบรับข้อเสนอของฮ่องเต้ เพื่อออกตามหาองค์หญิงน้อยให้พบ แต่ก็ไม่คิดว่าตนจะเคยพบกับองค์หญิงน้อยแล้ว
หนำซ้ำยังเป็นคนที่ทำให้ตนไม่สามารถร่วมรักกับผู้อื่นได้อีก ลู่เหยียนจึงคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะองค์หญิงน้อย เกิดมาเพื่อจะเป็นฮูหยินของตนเพียงผู้เดียว
" ขอบใจเจ้าที่อยู่รอพี่จนถึงป่านนี้ตลอดเวลาที่หนีออกจากวังคงจะลำบากมากสินะ หนำซ้ำยังถูกคนของพี่จับมาบำเรอพี่อีก โชคดีแค่ไหนที่เป็นพี่ไม่เช่นนั้นพี่คงเสียใจไปตลอดชีวิต แต่คงเพราะเจ้าจะต้องมาเป็นฮูหยินพี่จริงๆ พระโพธิสัตว์จึงได้จับเจ้าส่งมาให้พี่ ต่อไปแม้จะต้องหัวหลุดจากบ่า พี่ก็จะไม่ยอมเสียเจ้าไปอีกเป็นแน่ "
แม่ทัพลู่เหยียนเอ่ยกับคนตัวเล็กอย่างหนักแน่น ก่อนจะล้มตัวลงนอนกอดอีกคนไว้
ภายในวังกับท้องพระโรงดูจะวุ่นวาย เหล่าขุนนางและราชวงศ์ที่รอถวายฎีกา ต่างพูดคุยกันถึงเรื่องแคว้นเจียงหนาน ที่จะส่งทูตมาเจรจาเรื่องการแต่งงานอีกครั้ง หลังจากเมื่อสามปีก่อนถูกยกเลิกไป เพราะองค์หญิงหนีหายไป แต่ทางแคว้นนี้บอกว่าองค์หญิงได้ล้มป่วยด้วยโรคประหลาด จึงทำให้ฝ่ายนั้นไม่ได้โตแย้งอะไร แต่ตอนนี้กลับส่งทูตมาสู่ขอองค์หญิงอีกครั้ง กลับยังหาตัวองค์หญิงไม่พบ
"แล้วเราจะทำเช่นไรดี ป่านนี้ก็ยังหาตัวองค์หญิงไม่พบ หากเป็นเช่นนี้แคว้นเจียงหนานจะยอมรับเช่นสามปีที่แล้วหรือไม่ เหตุใดองค์หญิงจึงไม่นึกถึงบ้านเมืองบ้างเลย ทรงทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน"
ใต้เท้าเผิงเอ่ยกับขุนนางท่านอื่น ที่กำลังออกความคิดเห็นเช่นกัน เสียงซุบซิบของเหล่าขุนนางทำให้ฮ่องเต้นั้นเป็นกังวล จนต้องยกเลิกการประชุมไปเสียก่อน
" มีใครได้ข่าวจากแม่ทัพลู่เหยียนบ้าง ทำไมจึงเงียบหายไป "
ฮ่องเต้เอ่ยกับถามองครักษ์ของตน
" ก่อนหน้านี้ทหารที่ติดตามไปด้วย บอกว่าถูกสั่งให้กลับมาก่อนพะยะค่ะ เหลือเพียงแม่ทัพลู่เหยียนและผู้ติดตามไปเพียงผู้เดียวพะยะค่ะ "
องครักษ์รายงานกับฮ่องเต้
"หรือว่าจะพบน้องหญิงแล้ว ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่พากลับมา จัดทหารออกไปตามหาและตามหาแม่ทัพลู่เหยียนด้วย "
“พะยะค่ะฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซางจินหลงออกคำสั่งกับองครักษ์ของตนแล้ว ก็นั่งนึกหาเหตุผลที่จะตอบแคว้นเจียงหนาน ว่าควรจะทำเช่นไรหากหาตัวน้องหญิงของตนไม่พบอีก