“ขอโทษด้วยที่เพิ่งเอาของกินมาล่อ”
“ไปเถอะ คิดซะว่าไม่เห็นฉันอยู่ตรงนี้” ปากเม้มเข้าหากันแน่น เกิดไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ถึงได้เริ่มถอดใจ “จะเป็นพระคุณมาก”
“สี่นาที…” คำนั้นทำฉันหันมาสนใจเขาอีกครั้ง “สี่นาทีผมอยากให้คุณฟังผม แล้วค่อยมาตัดสินใจอีกทีว่าจะยังทำต่อไหม ถ้าคุณยืนยัน ผมจะไม่ขัด เชิญปลิดชีวิตที่แสนมีค่าของตัวเองได้เลย”
เขาต้องการอะไรกันนะ ทั้งที่จะเดินผ่านไปแล้วทำเป็นไม่สนใจยังได้ ทำไมถึงยังชวนคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันคุยด้วย
‘ชีวิตแสนมีค่า…’
คนดีคนหนึ่งในสังคมสินะ ถ้าเขาสามารถช่วยชีวิตฉันไว้ได้ อาจมีคนเอาไปเขียนข่าว จากคนธรรมดา ๆ ก็จะมีที่ยืนในสังคมขึ้นมาทันที ไม่ก็คงอยากสวมบทเป็นพ่อพระ ช่วยคนจากการคิดกระโดดน้ำตายเพื่อเกียรติภูมิของครอบครัว
“พูดมาสิ”
ถ้าอยากจะทำนักฉันก็จะนั่งฟัง พอครบสี่นาที จะโดดลงไปอย่างไม่ลังเล จะไม่สนใจว่าเขามองอยู่หรือไม่ ฉันเตือนให้เขาเดินผ่านไปแล้ว หากอยากได้ภาพติดตานักก็เชิญ
ชายคนนั้นยิ้มมุมปากเล็กน้อย น่าแปลกที่ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายฉันยังสามารถมองเห็นมันได้ชัด เขาเดินเข้ามาประชิดตัว เว้นระยะห่างประมาณหนึ่งก้าว หันหลังพิงราวสะพานหยิบเอาบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา
บุหรี่? ตอนฝนตกเนี่ยนะ เขาคงสติไม่ได้ดีไปกว่าฉันแน่
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วมองฉัน ตอนนั้นแหละถึงได้เห็นใบหน้าเขาชัดเจนขึ้น
โลกนี้ทำไมเหวี่ยงผู้ชายหน้าตาดีราวกับเจ้าชายมาในวันที่ฉันกำลังจะตายกันนะ พระเจ้าคงเกลียดฉันใช่หรือเปล่า
“แค่คาบไว้ กำลังเลิก ไม่ได้คิดจะจุดสูบตอนมันเปียกหรอกนะ” เหมือนเขาจะอ่านความคิดฉันออกเลยพูดดักทาง
“ฉันเคยหักดิบเลิกกินหวาน” ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ถึงได้อยากแชร์ประสบการณ์ชีวิตกับคนแปลกหน้า “ทำได้สองเดือน หลังจากนั้นกลับมากินหนักกว่าเดิมอีก”
“ผมไม่ได้จะหักดิบ เวลาชีวิตมีเยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งทำอะไรบางอย่างมากจนเกินไป” นัยน์ตาสวยมองมาที่ฉันนิ่ง “แต่ของคุณเหลือแค่สามนาทีครึ่ง ยังอยากฟังเรื่องที่ผมจะเล่าไหม”
“…”
ฉันจึงเงียบ ขยับตัวเข้าข้างในเล็กน้อย ใช้มือยึดราวเหล็กไว้แน่นขึ้น ผ่อนลมหายใจออก ปล่อยตัวให้สบายที่สุด คิดเสียว่านี่จะเป็นเรื่องราวสุดท้ายที่จะได้รู้ พยายามตั้งใจฟังให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน
พอเห็นว่าฉันนิ่งไป เขายกนาฬิกาข้อมือมาดูก่อนเสียงทุ้มชวนฟังจะพูดขึ้นหลังจากนั้น
“ลูกแมวตัวหนึ่งเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยสมบูรณ์แบบ มีแม่ที่รักมัน พ่อที่เป็นเสาหลักคอยหาเงินจุนเจือครอบครัว พี่ ๆ รวมกันห้าตัวที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูล ทุกตัวรักกันดีกระทั่งแมวตัวนั้นถือกำเนิด มันเป็นลูกหลงที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา นั่นเลยทำให้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตั้งแต่อยู่ในท้อง”
นี่ฉันต้องใช้เวลาชีวิตที่เหลือเพื่อฟังเรื่องของแมวอย่างนั้นหรือ เฮ้อ…รู้สึกสิ้นหวังชะมัด
“พอคลอด แม่แมวจึงทุ่มเททุกอย่างเพื่อเอาใจมัน ส่งผลให้ลูกแมวทั้งห้าเกิดอิจฉาที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควร แทนที่ลูกแมวตัวใหม่จะเชื่อมครอบครัวให้เหนียวแน่นขึ้น มันกลับเริ่มทำครอบครัวแตกแยก พี่ ๆ มันรุมแกล้งมัน รุมเกลียดมันทั้งที่มันไม่ได้ทำอะไร ตอนแรกมันคงคิดว่าพี่รักเลยแกล้ง แต่พอมันโตขึ้นมันถึงได้รู้ว่าไม่มีใครรักมันจริง ๆ มันจึงลุกขึ้นสู้บ้าง ใช้ความรักจากพ่อแม่เป็นเครื่องมือเอาคืนจากพวกพี่ ๆ มัน…”
ดีนะที่พี่ฉันไม่ได้ขี้อิจฉาเหมือนพี่ ๆ แมวตัวนั้น
หรือเธออาจจะเป็นแต่แค่ไม่แสดงออกชัดเจน จำได้ว่ามีหลายครั้งฉันโดนเธออารมณ์เสียใส่ มีรุนแรงสุดคือโดนผลักจนล้ม มารู้ทีหลังว่าที่เธอทำแบบนั้นเพราะถูกบีบให้ไปทำงานพิเศษเพื่อลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว โดยที่ฉันยังคงลอยหน้าลอยตาใช้เงินอย่างสบายในรั้วมหาวิทยาลัยเอกชน
“มันแก้แค้นพี่มันยังไงเหรอ”
เขาหยุดชะงักไปสักพัก ยกมือขึ้นดูนาฬิกาอีกครั้งก่อนพูดต่อ “พี่คนแรกโดนเอาคืนด้วยวิธีไม่รุนแรง นั่นเพราะเขาไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายต่อมัน เจ้าแมวน้อยตัวนั้นเพียงแค่แกล้งให้ปลาเน่ากับพี่คนแรกกิน ทุกวัน ทุกวัน กระทั่งพี่มันลำไส้อักเสบ พี่แมวตัวที่สอง…”
ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
เสียงนั้นดังมาจากสมาร์ตวอทช์ของเขาเอง ชายคนนั้นเงยหน้ามองฉัน หยิบบุหรี่เปียกน้ำออกจากปาก “เวลาหมดแล้ว”
“…”
มันคือเวลาชีวิตของฉันด้วยสินะ มาได้ไกลเพียงนี้นับว่าดีแค่ไหนแล้วสินะ
“ลังเลเหรอ” เขาถามฉันต่อ
ลังเล? คงอย่างนั้นมั้ง
ฉันไม่มั่นใจอะไรทั้งนั้น แค่รู้สึกว่าเวลาสามสี่นาทีที่ฟังเขาเล่าเรื่องไม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับแมวเหมือนได้พักสมองคิด บางทีฉันเองยังคงมีหนทางในชีวิตเหลืออยู่ บางทีฉันอาจจะยังพอเดินต่อไปไหว ในเมื่อสองเท้ายังเหลือ สองมือยังมี สมองไม่ได้ฝ่อ ทำไมฉันถึงจะสู้ต่อไม่ได้กัน
มือตอนนี้กำเงินสิบบาทไว้แน่น ริมฝีปากฉันสั่นระริกร่างกายสั่นสะท้านเพราะความหนาวเหน็บจากการตากฝนเป็นเวลานาน เริ่มรู้สึกกลัวตายขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่ควรมีความคิดนี้เข้ามาในสมอง…
“ฉันอยากรู้จังค่ะว่าเจ้าแมวตัวนั้นจะเป็นยังไงต่อ”
ริมฝีปากบางเฉียบฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจ “ถ้าอยากรู้…ก็กลับกับผมสิ”
“คุณสัญญากับฉันสักอย่างได้ไหมคะ”
“…”
“ว่าคุณจะเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังจนจบ”
“ได้สิ ผมใช้ทั้งชีวิตบอกคุณยังได้”
[Prish’s POV]
ริมฝีปากสีแดงสดราวกลีบกุหลาบสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บ ร่างเล็กสั่นสะท้านเป็นพัก ๆ ตอนยื่นมือมาให้ ผิวเธอขาวซีดเมื่อเทียบกับสีผิวของผม เธอสะดุ้งตอนมือแตะโดนผิวที่อุ่นกว่า แต่กระนั้นก็ยังกำเสื้อผมไว้แน่นเหมือนกลัวว่าถูกจะผลักลงไปเบื้องล่าง
“ขอบคุณที่อุตส่าห์หยุด” มือน้อย ๆ ที่กำแขนผมไว้กำแน่นขึ้นแน่นขึ้นราวกับกำลังหาที่พึ่งพิงกับตัวเอง “บางทีถ้าคุณทำเหมือนไม่เห็นฉันเลย ตอนนี้ฉันคงไม่มีชีวิตอยู่”
“กลับบ้านกันเถอะ” ผมไม่อยากได้ยินเธอพูดเรื่องไร้สาระต่อจึงตัดบทไป ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าตนไม่ได้ตั้งใจช่วยชีวิตเธอไว้ แค่บังเอิญผ่านมาแล้วเกิดนึกสนุกอยากลองทำบางอย่างแก้เบื่อก็เท่านั้น
มือนั้นกำแน่นขึ้นกว่าเก่าเมื่อผมพูดถึงบ้าน เธอเม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ไม่แน่ใจว่าน้ำที่ไหลบนใบหน้ารูปไข่ขาวซีดคือน้ำตาหรือน้ำฝน เธอมองจ้องผมด้วยสายตาสุดแสนจะสิ้นหวัง
“ฉันไม่มีบ้านหรอกค่ะ”
“มีสิ กลับบ้านกับผม” แววตาเธอสั่นระริก นิ้วทั้งสิบกระชับแขนผมก่อนเธอจะหมุนตัวกระโดดลงจากราวสะพานโดยมีผมคอยรับเพื่อไม่ให้ร่างเธอหล่นไป
ตัวเบา…ด้วยรูปร่างเธอที่ค่อนข้างสูงกว่าหญิงสาวทั่วไป กะจากสายตาคงเกือบร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเห็นจะได้ ทว่าตัวเธอกลับเบาเหมือนนุ่น น่าสงสัยว่าคงอดอาหารมาหลายวัน ไม่ก็กินไม่อิ่มมาหลายสัปดาห์ หรือเธออาจเป็นพวกคลั่งผอมก็คงได้
ทันทีที่เท้าแตะพื้น ร่างแบบบางถึงกับเซ เธอยืนด้วยขาตัวเองไม่ไหว ล้มพับไปต่อหน้าผมตอนกำลังควักโทรศัพท์โทร.หาใครบางคนให้มารับ
“เฮ้!”
ดีที่คว้าไว้ทันก่อนหัวจะกระแทกพื้นคอนกรีต ตอนนี้เธอหมดสติไปเสียแล้ว ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุด
จะทำยังไงกับผู้หญิงที่อุตส่าห์ชุบชีวิตได้สำเร็จดีนะ ในหัวผมแล่นไม่หยุด เกมมากมายผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด
เกม…ที่ใช้ชีวิตเป็นตัวขับเคลื่อน
หรือบางทีผมอาจจะให้เธอออกแบบเองดีว่าจะเป็นหมากแบบไหน ให้เธอเลือกเต้นบนกระดานจนกว่าจะพอใจ แล้วหลังจากนั้นเมื่อมันไม่สนุกอีกต่อไปค่อยทิ้งขว้างก็ยังได้
“คุณพริชช์ รถมารอแล้วครับ”
“อืม”
เหลือบไปมองคนมาใหม่ ก่อนออกแรงเล็กน้อยยกตัวเธอขึ้นไปยังรถตู้สีดำขลับจอดอยู่ริมถนน
“ชีวิตของเธอเป็นของผมแล้วนะสาวน้อย จงอย่าลืมหนี้บุญคุณในวันนี้”