“อย่ามาเล่นลิ้น ฉันรู้ว่าแกรู้ว่าภัทรอนันต์ไม่ชอบหน้าพวกพีระนันท์!”
“ก็ใช่...แต่มันเกี่ยวกับผมตรงไหน” คีธถามเสียงหยัน “คุณคงจะไม่ลืมนะว่าผมชื่ออะไร ผม...คีธ แมคไกวร์”
ปัง!
คีรีตบโต๊ะทำงานเสียงดังอย่างคนโมโหจัดกับท่าทางโยกโย้ของลูกชาย
“แกไม่มีทางปฏิเสธเลือดภัทรอนันต์ในตัวแกได้ จะให้ฉันย้ำให้แกฟังอีกกี่ครั้งว่าแกคือ คีรินทร์ ภัทรอนันต์ แล้วก็เลิกเอานิสัยเลวๆ มาใช้ได้แล้ว” คีรีว่าอย่างหัวเสีย ขัดใจเหลือเกินที่ไม่ว่าเมื่อไหร่คีรินทร์ก็ไม่เคยยอมลงให้เขาสักครั้ง อะไรที่ต่อต้านขัดคำสั่งเขาได้อีกฝ่ายพร้อมจะยอมทำทั้งหมด
“จำเอาไว้ ภัทรอนันต์ทุกคนต้องฟังคำสั่งของฉัน แกก็เหมือนกัน ต้องฟังคำสั่งของฉัน! เข้าใจไหม!”
“หึ!” คีธลุกขึ้นยืน หยัดยิ้มหยันที่มุมปาก แล้วตอบเสียงดังกังวาน “ไม่เข้าใจ และไม่คิดจะเข้าใจ”
“แก...”
“อ้อ...ส่วนเรื่องพีระนันท์ คิดว่าคุณคงจะพอรู้อะไรมาบ้างนะ คงต้องขอขอบคุณคุณด้วยนั่นแหละที่ทำให้ผมคิดถึงอนาคตดีๆ ของลูกที่จู่ๆ ก็นึกอยากจะมี และพวกสายเลือดดีๆ มันก็มีไม่กี่ตระกูลในเมืองไทยจริงไหม? พวกที่ทัดเทียมกับภัทรอนันต์ของคุณ”
คีรีหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห แต่พูดไม่ออก ได้แต่ฟังลูกชายนอกคอกเยาะหยันต่อไป
“แล้วมันจะเป็นตระกูลไหนล่ะถ้าไม่ใช่พวกพีระนันท์ ถึงจะจนแต่ชื่อเสียง ความเก่าแก่ และ...ความเป็นผู้ดี ก็มีไม่น้อยหน้า ลูกผมที่จะเกิดมาคงดีสมใจพวกภัทรอนันต์ทุกอย่าง นี่ผมคิดได้เพราะคำสอนของคุณที่กรอกหูมาตลอดเวลาเลยนะนี่คุณคีรี”
“แก...” ชายชราชี้นิ้วสั่นระริกใส่หน้าอีกฝ่าย “แกอยากให้ฉันอกแตกตายใช่ไหมคีรินทร์!”
“ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นผมค่อยคิดอีกทีแล้วกันว่าอยากหรือไม่อยาก” คีธเยาะหยัน แล้วจึงกล่าวลาอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ผมกลับก่อนแล้วกัน ว่างๆ จะมาหาใหม่”
พูดจบชายหนุ่มก็เดินจากไป พร้อมกับผิวปากกวนอารมณ์คนในห้องนั้นอีกด้วย
คีธถอนใจยาว ถึงตอนนี้เขาจะอารมณ์ดีขึ้นเพราะสีหน้าเพลี้ยงพล้ำของคีรี ทว่าแท้จริงอาการอึดอัดในอกและความรู้สึกคล้ายๆ กับโกรธเคืองที่สั่งสมมานานก็ไม่ได้คลายลง เพียงแต่เวลานี้เขาจะสะใจมากกว่าก็เท่านั้นเอง!
“ไอ้ฝรั่งกุ๊ย!”
จนเมื่อเดินผ่านห้องโถงใหญ่ เสียงกราดเกรี้ยวที่ดังขึ้นจากเบื้อง
หลังก็ทำให้คีธกระตุกยิ้ม แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อเขาแต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่านั่นคือเสียงของคุณหญิงวิมาดาที่ด่ากระทบเขาทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงัก
คีธปรายตามองเจ้าของบ้านหญิงด้วยสายตากวาดขึ้นลงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ตำหนิอีกฝ่ายด้วยสายตาอย่างที่ทำกับลูกน้องในกาสิโน สายตาสีเทาเย็นชาทั้งเชือดและเฉือนอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ โดยไม่ต้องปริปากพูดอะไร
“แก!” วิมาดาทนไม่ไหวเสียเองกับสายตาของชายรุ่นลูก “ไอ้เด็กบ้า”
“จุ๊ๆ” คีธถอนหายใจยาว ส่ายหน้าอย่างระอาในยามจ้องมอง
วิมาดาที่แทบจะเต้นเร่าด้วยความโกรธเคือง “อย่าทำตัวต่ำแบบนี้สิคุณหญิงวิมาดา ดูแล้วเหมือนไม่ใช่พวกผู้ดีเลยนะ”
พูดจบชายหนุ่มก็หัวเราะ นึกดีใจที่ภาษาไทยของตนเองดีมากจนถึงขั้นแตกฉาน ที่ทนยอมเรียนจนอ่านออกเขียนได้และถึงขั้นใช้ได้ดีเห็นจะต้องยกความดีให้แก่คนพวกนี้กระมัง ที่ชอบด่ากระทบกระเทียบเขาเป็นภาษาไทยเสมอ เมื่อก่อนฟังไม่ออกแต่ดูท่าทางพอรู้เลยตอบโต้ไม่ได้ ทีนี้พอฟังออก ได้ตอกกลับนี่มันก็สะใจดีเหมือนกัน!
“ไอ้เด็กเปรต! แกจะไปไหนก็ไปเลย รีบๆ ไปซะฉันจะได้รับปัดเสนียดให้พ้นๆ จากบ้านนี้เสียที!”
เสนียด...คำพูดนี้ทำให้ดวงตาคีธเป็นประกายกร้าว นี่ดีที่อีกฝ่ายยังปรานีที่ไม่ด่าเขาอย่างสมัยเด็กๆ เสนียดจัญไร!
คีธมองสบตาภรรยาของคีรีตรงๆ แล้วจึงส่งถ้อยคำเชือดเฉือนอีกฝ่ายให้เต้นเร่าได้สมใจก่อนจะเดินจากไป
“นั่นสิ...ปัดเสียก็ดีนะเสนียดจัญไรพวกนี้ ดูสิเลยทำให้พวกคุณร้องแหกปากเหมือนผีบ้า แต่ขอแนะนำว่าให้ปัดจากตัวเองก่อนอื่นจะเป็นดีที่สุด”
จบคำพูดพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นจากอีกฝ่ายและเสียงด่าทอลั่นหูไม่สมกับความเป็นผู้ดีที่ภาคภูมิใจกันนักหนา
“ไอ้ปากเสีย! ไอ้ฝรั่งปากหมา! ไอ้...!”