ชิดหทัยที่ตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงยีนส์กระชับไปกับท่อนขาเรียวสวยของเธอก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากห้องนอนแล้วกวาดตามองซ้ายมองขวาภายในห้องรับแขกโล่งกว้างก็ถอนหายใจยาวเฮือกด้วยความโล่งอกเมื่อมองไม่เห็นใครอยู่ในห้องนั้น
เธอลูบอกเพื่อระงับหัวใจที่เต้นตึกตักรุนแรงด้วยความตื่นเต้น วันนี้ผู้คุม เอ๊ย! ผู้ดูแลของเธอยังไม่มา ซึ่งก็ถือว่าดีแล้วเพราะเธออุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามากกว่าปกติเพื่อที่จะออกไปข้างนอกน่ะสิ หญิงสาวกระชับเป้ใบเล็กบนหลังที่มีของสำคัญเอาไว้แน่น เส้นผมยาวสีดำสนิทของเธอถูกมัดรวบขึ้นกลางศีรษะ ให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง วันนี้เธอกะว่าจะหนีกลับไปที่คฤหาสน์แฮมิลตันเสียหน่อย เธอเพิ่งโทร.คุยกับมาร์ธาเมื่อวานนี้ อีกฝ่ายบอกว่าเทเรน่ามีอาการซึมนิดๆ ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นเพราะว่าท่านคิดถึงเธอน่ะสิ! นอกจากนั้นแล้วเธอยังต้องไปเอาของบางอย่างที่ลืมทิ้งไว้อีกด้วย ประจวบเหมาะกับที่เพื่อนสนิทของเธอจะไปเยี่ยม ‘แฟนหนุ่ม’ ของตัวเองซึ่งบังเอิญไปทำงานที่เมืองนั้นพอดิบพอดี เธอกับเพื่อนเลยตกลงใจจะไปด้วยกันน่ะสิ
แต่จะให้เธอขอแอนนิต้าน่ะเหรอ อีกฝ่ายจะต้องทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตแน่ๆ และเธอก็ไม่เคยปริปากบอกใครเสียด้วยว่าเธอกลับมายังลอนดอนเพื่ออะไร ได้แต่บ่ายเบี่ยงหรือเนียนทำเป็นไม่ตอบไปอย่างนั้น ใครจะกล้าบอกล่ะว่าเธอต้องย้ายตามมาอยู่กับคู่หมั้น
และยิ่งไม่กล้าบอกใหญ่เลยว่าคู่หมั้นของเธอคือ...ไทเลอร์ แฮมิลตัน! แค่คิดเธอก็ขนลุกแล้ว
เท้าเล็กที่อยู่ในรองเท้าผ้าใบก้าวออกมาจากห้องด้วยอาการลิงโลด ทว่าประตูยังไม่ทันปิดสนิทดีด้วยซ้ำ น้ำเสียงหวานๆ ของคนที่เธออุตส่าห์ตื่นเช้าเพื่อหลบหน้าอีกฝ่ายก็ทักขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจจนเธอสะดุ้งโหยงสุดตัว
“คุณจะออกไปไหนหรือคะคุณแคท?”
“แอนนิต้า! ฉันตกใจหมดเลยค่ะ”
ชิดหทัยหันขวับ แล้วก็เห็นว่าเป็นแอนนิต้ากำลังยืนมองเธออยู่ด้วยสีหน้าแปลกใจ ขณะที่ชิดหทัยถึงกับถอยหายใจด้วยความผิดหวัง ขนาดว่าตื่นแต่เช้า...แอนนิต้ายังตามมาดักได้เหมือนมีญาณทิพย์เลย
“ดิฉันขออภัยด้วยค่ะที่ทำให้ตกใจ”
แอนนิต้าเอ่ยเสียงเรียบ ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้รู้สึกผิดอย่างที่พูดขอโทษเธอออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ชิดหทัยจะไปถือโกรธแอนนิต้าได้ยังไง ในเมื่อเธอกำลังมีชนักติดหลังอันเบ่อเริ่มและกำลังถูกจับได้คาหนังคาเขาอยู่อย่างนี้!
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่ขวัญอ่อนไปเอง”
เธอได้แต่ยิ้มแล้วโบกมือไปมาให้อีกฝ่ายเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก ก่อนจะหัวเราะแหะๆ เสียงแห้งเมื่อแอนนิต้าทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้แล้วเอ่ยถามเธอด้วยกิจวัตรประจำวันทุกเช้าว่า
“ว่าแต่คุณจะรับอะไรเป็นอาหารเช้าดีคะ ฉันจะได้...”
“ไม่ต้องหรอกค่ะแอนนิต้า” เธอรีบเบรกผู้ดูแลไม่ให้อีกฝ่ายร่ายรายการอาหารเช้าออกมาจนจบ “เดี๋ยวฉันจะออกไปหาทานข้างนอกเองนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยไม่เต็มเสียงเท่าไรนัก และเธอก็เห็นแอนนิต้าที่คงจะรู้ว่าเธอจะออกไปข้างนอกแต่พยายามไม่สนใจยอมรับรู้จนได้
“แต่ว่า...”
เจ้าหล่อนทำท่าจะคัดค้าน ชิดหทัยจึงได้รีบปรี่เข้าไปใกล้อีกฝ่าย เธอถึงขั้นจับมือแอนนิต้าขึ้นมากุมแล้วเอ่ยอ้อนวอนเสียงหวาน ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ ใส่อีกฝ่ายเป็นการออดอ้อนไม่แพ้กัน
“ฉันมีเรื่องอยากจะบอกคุณพอดี ฉันกะว่าจะกลับไปคฤหาสน์แฮมิลตันน่ะค่ะ พรุ่งนี้เช้าก็คงจะกลับมาแล้ว”
แอนนิต้าเบิกตาโต ส่ายหน้าหวืออย่างไม่เห็นด้วย
“แต่ว่าคงต้องรอให้มิสเตอร์แฮมิลตันอนุญาต...”
ชิดหทัยเบ้ปากด้วยความไม่พอใจ “ฉันไม่ใช่นักโทษนะคะแอนนิต้า ฉันเป็นแค่คู่หมั้น เขาไม่ว่าอะไรอยู่แล้วล่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นให้ดิฉันตาม...”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” เธอโพล่งขัดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกล่อมผู้ดูแลที่ดูเหมือนจะโต้ตอบเธอไม่ทัน “แอนนิต้าคะ มันไม่มีอันตรายอะไรเลย เชื่อฉันเถอะค่ะ”
“แต่เดี๋ยวนี้คุณไม่ได้...”
อีกฝ่ายกำลังจะร่ายถึงสถานะที่เปลี่ยนไปของเธอขึ้นมาอีกรอบหนึ่งแล้ว และชิดหทัยก็เอียนเกินกว่าจะอยากฟังแล้วว่าการเป็นคู่หมั้นของไทเลอร์ แฮมิลตันนั้นมีความพิเศษอย่างไร พลิกชีวิตเธอไปอย่างไร และทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายมากเพียงใดอีกต่อไปแล้ว
“ฉันอยากใช้ชีวิตธรรมดาๆ ของตัวเองนะคะ การไปไหนมาไหนด้วยพาหนะหรูหราและมีคนคอยรับส่งมันทำให้ฉันอึดอัดที่ถูกจับตามองค่ะ เอาเป็นว่าถ้าเขาจะต่อว่าอะไรคุณ บอกได้เลยนะคะว่านี่คือคำสั่งของฉัน”
เป็นครั้งแรกในรอบสี่วันที่อยู่ด้วยกันที่หญิงสาวเอ่ยชัดเจนว่าเธอต้องการสั่งแอนนิต้า ไม่ใช่การขอร้องหรืออ้อนวอนอย่างที่เคยเป็นมา ซึ่งนั่นส่งผลให้แอนนิต้านิ่วหน้าด้วยความตะขิดตะขวงใจกับคำสั่งนั้น
ไม่ใช่เธอไม่อยากทำตาม แต่คำสั่งนั้นขัดกับเจ้านายที่แท้จริงของเธออย่างชัดเจนจนทำให้เธอลำบากใจ
“คุณแคทคะ?”
แต่ชิดหทัยไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว เธอเบี่ยงตัวหลบแอนนิต้า ก่อนจะโบกมือลาอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยอย่างเอาแต่ใจตัวเองว่า “ฉันไปแล้วค่ะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะแอนนิต้า”
......
จากชั้นสูงสุดลงมาถึงหน้าประตูโรงแรมหญิงสาวก็แทบจะวิ่งออกมาเมื่อเห็นว่าเธอสายกว่าเวลานัดเกือบสิบห้านาทีแล้ว และทันทีที่เดินไปถึงป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากหน้าโรงแรมแฮมิลตันนัก หญิงสาวก็เห็นร่างสูงโปร่งของเพื่อนสนิทมายืนกอดอกรอเธออยู่แล้ว และทันทีที่เข้าไปใกล้อีกฝ่าย เพื่อนตัวดีก็รัวคำพูดใส่เธอด้วยความไม่พอใจทันที
“กว่าเธอจะลงมา ฉันเกือบแข็งตายแล้วรู้ไหม”
ตอนนี้หน้าหนาวแล้ว อากาศลดลงจนเหลือเลขตัวเดียวแล้ว พยากรณ์อากาศบอกด้วยซ้ำว่าอีกไม่นานหิมะคงจะตก ซึ่งนั่นทำให้คนที่ผิดเวลานัดหมายถึงกับก้มหัวขอโทษอีกฝ่ายแทบไม่ทัน
“ขอโทษ พอดีเจอปัญหานิดหน่อยน่ะอีริค”
อีริค ฮานหนุ่มลูกครึ่งอังกฤษ-เกาหลีสะบัดค้อนใส่เธอแล้วบุ้ยปากด้วยความไม่ชอบใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางหอบหายใจเพราะวิ่งมาของเธอแล้วอีกฝ่ายก็สะบัดหน้าแล้วจีบปากจีบคอต่อมาด้วยน้ำเสียงแหลมๆ ที่อ่อนลง
“นี่ถ้าไม่เห็นแก่ค่าตั๋วฟรีที่เอามาล่อฉันไม่ยอมไปกับเธอจริงๆ ด้วย คฤหาสน์แฮมิลตันอยู่ตั้งไกลแหนะ” ตอนท้ายเจ้าหล่อนบ่นหงุงหงิง ทั้งๆ ที่ตัวเองนั่นแหละที่อยากจะไปหาแฟนหนุ่มแท้ๆ
พอเริ่มหายเหนื่อย ชิดหทัยก็สามารถตอบโต้เพื่อนสนิทได้อย่างฉับไวตามเดิม หญิงสาวค้อนขวับใส่นังคนที่พูดจาเอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่เธอพลางตอกกลับไปว่า “หุบปากเหอะ แกเองก็นัดใครบางคนที่นั่นอยู่แล้ว เอาฉันเป็นข้ออ้างแล้วยังมีหน้ามาทวงบุญคุณนะ”
อีริค…เกย์หนุ่มร่างสูงโปร่งเลยได้แต่หัวเราะเสียงแห้ง แล้วรีบคว้าคอเธอให้ออกเดินไปด้วยกันในทันที
“จ้าๆ ยอมแพ้ก็ได้ รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวพลาดรถไฟเที่ยวนั้นแล้วจะยาวนะ”
“ย่ะ”
หญิงสาวได้แต่ค่อนขวับ แต่ก็ยอมเดินตามอีกฝ่ายไปแต่โดยดี และเพียงแค่ก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว อีริคผู้ซึ่งไม่เคยปล่อยความสงสัยให้ผ่านเลยไปก็เริ่มไต่ถามเธอทันทีว่า
“ว่าแต่ทำไมเธออยู่ที่โรงแรมแฮมิลตันได้น่ะ”
หญิงสาวได้แต่กลอกตาไปมา พยายามคิดหาเหตุผลที่จะบอกเล่าให้เพื่อนสนิทซึ่งคบกันมายาวนานและรู้เรื่องของเธอดีพอทุกๆ อย่างแทบจะเท่ากับนิศามาศที่เติบโตมาด้วยกันว่าเธอจะบอกอีริคอย่างไรดีว่าเธออยู่ที่นั่นได้อย่างไร เพราะโรงแรมระดับห้าดาวชั้นนำอย่างแฮมิลตันไม่ใช่ที่ที่เด็กกำพร้าอย่างเธอจะไปอาศัยอยู่ราวกับบ้านของตัวเองได้เช่นนี้
หญิงสาวนิ่งเงียบไปนานจนอีกฝ่านกระทุ้งศอกเร่งให้ตอบคำถาม ถึงค่อยๆ เรียบเรียงคำตอบออกมาในที่สุด
“ก็…พอดีฉันต้องย้ายมาทำงานกับลูกชายของเทเรน่าไง นี่ไม่เคยเล่าให้นายฟังเหรอ”
เธอแกล้งย้อนถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ เพราะรู้ดีแก่ใจว่าเธอไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย
อีริคจิกตาใส่อย่างรู้ทัน “ไม่เล่าน่ะสิ ไม่งั้นจะถามเหรอ”
“เออ” หญิงสาวทำท่ากระแอมไอสองสามครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เรียบเรียงคำตอบออกมา “ถูกส่งให้มาทำงานกับลูกชายของท่าน ท่านขอมาน่ะ ถึงได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว แต่ก็ไม่เกินครึ่งปีหรอก ฉันก็ย้ายกลับไปดูแลท่านตามเดิมแล้ว”
อีริครู้ดีว่าเธอเรียนจบไฮสคูลแล้วไปอยู่ที่ไหน อีกฝ่ายจึงจับโกหกคำบอกเล่าของเธอไม่ได้เลยสักนิดเดียว แต่ถึงอย่างนั้นสัญชาตญาณที่เฉียบคมมาแต่ไหนแต่ไรของอีกฝ่ายก็ทำให้อีริคไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เพื่อนสนิทเล่าเท่าไรนัก
“แกดูมีพิรุธยังไงก็ไม่รู้แฮะ”
“พิรุธอะไร” คนไม่ค่อยโกหกปฏิเสธเสียงสูง ค่อยๆ แข็งใจเบือนหน้าไปสบตากับอีกฝ่ายเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง “แกจับผิดฉันมากเกินไปนะ”
แต่ยิ่งสบตากับยายเพื่อนสนิท อีริคก็ยิ่งคิดว่าเจ้าหล่อนดูมีพิรุธอย่างหนัก เกย์หนุ่มหรี่ตา โน้มใบหน้าเข้าหาคนตัวเล็กกว่ามากยิ่งขึ้นแล้วเอ่ยเสียงดังอย่างมั่นใจ
“ก็มีพิรุธจริงๆ นี่หว่า”
ชิดหทัยถอนหายใจเฮือก หลบเลี่ยงสายตาอีกฝ่ายแล้วเปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อๆ
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ”
ประโยคนั้นบอกชัดเจนว่าเค้นให้ตายก็จะไม่พูดออกไป อีริคซึ่งรู้ดีเลยได้แต่ยกมือยอมแพ้
“งั้นพูดเรื่องอื่นก็ได้”
“ค่อยน่าคุยด้วยหน่อย”
แต่ถึงยอมแพ้แต่ใช่ว่าจะถอดใจ
“มิสเตอร์แฮมิลตันหล่อแล้วก็เซ็กซี่มากๆ เหมือนในรูปไหม”
“แค่กๆ!” ประโยคที่โพล่งถึงคู่หมั้นหนุ่มของเธอทำให้ชิดหทัยถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองเพราะตั้งตัวไม่ทัน “แกถามอะไรแบบนี้น่ะอีริค!”
อีริคตาโต ยิ้มกริ่ม ไม่คิดว่าแค่เดาครั้งแรกก็จะถูกต้องด้วย ยายแคทมันต้องมี ‘ซัมธิงรอง’ กับลูกชายของผู้มีพระคุณคนนี้แน่ๆ! เขาคอนเฟิร์มเลย!
“เอ้า! ก็อยากรู้ แกนี่มีของดีใกล้ตัวแต่ไม่รู้จักสังเกตอะไรเอาเสียเลย”
เขาหยอกเย้าอีกฝ่ายกลับไป พลางจับสังเกตท่าทางกลบเกลื่อนที่เต็มไปด้วยพิรุธของยายคนข้างๆ ไปด้วย
“ก็ทำไมต้องไปสังเกตอะไรเขาขนาดนั้น ในเมื่อฉันกับเขาเจอหน้ากันปีละครั้งยังถือว่ามากเกินไปเลย!”
ตอนท้ายเจ้าหล่อนกัดฟันตอบด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว อีริคไม่อยากจะบอกหรอกว่ามันดูเหมือนพวกแม่บ้านที่กำลังโมโหสามีที่ไม่ยอมกลับบ้านมากกว่าจะทำเป็นรังเกียจเดียดฉันท์อีกฝ่ายอย่างที่ยายนี่เคยประกาศเอาไว้
“แต่ตอนนี้ต้องเจอหน้าทุกวันนี้ ไม่หวั่นไหวเหรอ”
อีริคถามจี้ออกมาตรงๆ และทำให้ชิดหทัยหันขวับไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนอย่างดุร้ายทันที
“หวั่นไหวอะไร แกเห็นฉันเป็นผู้หญิงยังไงถึงจะได้หวั่นไหวกับอีแค่ผู้ชายหน้าตาดีคนเดียว แต่นิสัยเลวร้ายบัดซบ!”
อีริคอยากจะหัวเราะ ขนาดเกลียดเขานะนั่น ก็ยังมองเห็นล่ะนะว่าไทเลอร์ แฮมิลตันหน้าตาดี
ซึ่งจากสายตาของเขาแล้ว...บอกเลยว่าไม่ได้หน้าตาดีธรรมดา แต่หน้าตาดีขั้นสุดยอดเลยต่างหาก!
“อ๊ะๆ” อีริคชูนิ้วชี้ขึ้นแล้วส่ายไปมาตรงหน้าเป็นการยั่วยวนเพื่อนซี้ “ร้ายนิดๆ นี่ยิ่งเร้าใจไม่ใช่เหรอ?”
ชิดหทัยปัดนิ้วเพื่อนสนิทไปให้พ้นหน้าเธอด้วยท่าทีขึงโกรธ
“ฉันไม่ใช่แกนะอีริค! เลิกพูดเรื่องเขาเถอะ! รู้ไหม? ถ้าจะหวั่นไหวไปกับคนอย่างไทเลอร์ แฮมิลตัน สิ่งเดียวที่หวั่นไหวคงเป็นห้ามตัวเองไม่ให้ยอมลงมือฆ่าเขาน่ะสิ! ฉันเกลียดเขาจะตายอยู่แล้ว มารร้ายจอมเผด็จการอย่างหมอนั่นน่ะ แค่ต้องเห็นหน้าก็อยากจะกลั้นใจตายวันละหลายร้อยหน!”
คำพูดที่พร่างพรูอย่างอัดอั้นตันใจเหลือแสนนั้นทำให้อีริคอยากจะหัวเราะ แสดงว่าระหว่างคู่นี้มีปัญหาจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับไม่รู้สึกคล้อยตามสิ่งที่เพื่อนประกาศปาวๆ เลยนะ
กลับมองอีกฝ่ายแล้วเห็นภาพหนูน้อยใส่หมวกสีแดงกับหมาป่าแสนสุภาพแต่เจ้าเล่ห์ร้ายกาจกันนะ...
“แหม…ความรู้สึกรุนแรงพลุ่นพล่านจริงๆ แต่แกอย่าลืมสิ สุภาษิตไทยน่ะ อะไรนะ...เกลียดอะไรมักจะได้อย่างนั้นนะชมพู”
คำพูดของอีริคทำให้ชิดหทัยรู้สึกเหมือนถูกหวดด้วยไม้เรียวที่ก้นอย่างเจ็บแสบ เธอเลยหันไปตอบโต้เกย์หนุ่มเพื่อนซี้อย่างดุร้าย
“แต่ฉันเกลียดแล้วเกลียดเลยย่ะ! เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ถ้าพูดถึงเขาอีก ฉันจะเอาที่แกแอบไปเหล่คนอื่นฟ้องโจชัวร์จริงๆ ด้วย!”
ตอนท้ายเธอขู่อีกฝ่ายเสียงเข้ม และนั่นทำให้อีริคถึงกับถอนหายใจอย่างหงุดหงิดที่ยายเพื่อนบ้าเล่นชกกันใต้เข็มขัดแบบนี้ ก็รู้กันอยู่ว่าโจชัวร์ขี้หึงขนาดไหน ยังคิดจะใส่ไฟเขาอีกนะ!
“ยายงูพิษร้ายกาจ!”
เขาพึมพำด่าอีกฝ่าย แต่ ‘งูพิษร้ายกาจ’ ไม่สนใจสักนิด เพราะตัดสินใจสะบัดไหล่ใส่อีกฝ่ายแล้วก้าวฉับๆ นำหน้าไปลงไปยังรถไฟใต้ดินไปก่อน โดยมีอีริครีบไล่ตามมาติดๆ เพื่อที่จะได้ต่อรถไฟตรงไปยังคฤหาสน์แฮมิลตันซึ่งอยู่ต่างเมืองและต้องใช้เวลาในการเดินทางราวๆ สามชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย