โถงใหญ่ของโรงแรม
เสียงหัวเราะและคำอวยพรยังดังคลออยู่รอบงาน แต่ที่มุมหนึ่งของห้อง ภีมร์ภัทร์ทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังสีเข้ม แก้วไวน์ในมือพร่องลงครั้งแล้วครั้งเล่า
ใบหน้าหล่อเหลาของเขา เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ในแววตากลับส่องประกายโกรธเกลียดเดือดดาล
ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มเย็น เสียงหัวเราะต่ำลอดออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“คุณพ่อ… บอกรักคุณแม่อารีแค่คนเดียวไม่ใช่เหรอ… วันนี้กลับแต่งงานใหม่ได้หน้าตาเฉย…”
เขายกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง กรามขบแน่นจนเส้นขึ้นชัด
“เพื่อธุรกิจสินะ… หึ… ถึงไปคว้าผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาเป็น แม่ใหม่ ของผม”
เสียงคำว่า แม่ใหม่ ถูกกดต่ำเสียจนคนที่เดินผ่านใกล้ๆ ยังอดหันมามองด้วยความรู้สึกขนลุก
ดวงตาคมวาวโรจน์ ภีมร์ภัทร์วางแก้วกระแทกโต๊ะเล็กข้างตัว กึก!
“คนที่ผมจะเรียกว่าแม่… มีแค่แม่อารี… กับแม่เล็ก เท่านั้น”
เขาเอียงศีรษะ หัวเราะราวคนบ้าเบาๆ
“ฮึ… ดร.ภรรณิภา… ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะเยือกเย็นก้องในลำคอ ก่อนจะเงียบลง เหลือเพียงแววตาเกลียดชังที่แทบจะกัดกินเขาจากข้างใน
เขาไม่เคยรู้เลย… ว่าความจริงที่ตัวเองเชื่อมาตลอดนั้น ถูกวาดขึ้นด้วยคำใส่ร้ายของ แม่เล็ก เพียงคนเดียว
เสียงพิธีกรเอ่ยเชิญแขกขึ้นเวทีอวยพรคู่บ่าวสาว เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วห้องจัดเลี้ยง ก่อนที่ร่างระหงในชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มจะก้าวขึ้นอย่างสง่างาม
“คุณกชกร หิรัณย์ธา น้องสาวผู้ล่วงลับของคุณอารี ภรรยาคนแรกของเจ้าบ่าว… ขอเชิญกล่าวคำอวยพรค่ะ”
แขกหลายคนหันมองด้วยแววตาชื่นชม ความสง่างามและบุคลิกของกชกร หรือ แม่เล็ก ทำให้เธอโดดเด่นไม่แพ้เจ้าสาวบนเวที
เธอหยิบไมโครโฟนขึ้น ยิ้มอ่อนหวาน จับมือภัควัฒน์แน่น แล้วหันไปพยักหน้าให้ดร.ภรรณิภา
“วันนี้เป็นวันที่น่ายินดีที่สุดค่ะ… ที่คุณภัควัฒน์ ซึ่งดิฉันเคารพเสมือนพี่ชาย ได้พบเจอคู่ชีวิตอีกครั้ง”
เสียงปรบมือดังขึ้นเบาๆ
แม่เล็กยกแก้วไวน์ขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายวาวแต่แฝงความเย็นเยียบ
“ดิฉันเชื่อว่า… คุณอารี พี่สาวที่ล่วงลับ คงจะดีใจ… ที่วันนี้คุณภัควัฒน์ไม่ต้องอยู่ลำพังอีกต่อไป”
เธอหันไปมองภรรณิภาเต็มตา รอยยิ้มหวานละมุน แต่อ่านง่ายสำหรับคนที่รู้จักเธอดีว่าแฝงหนามพิษ
“ก็ขอให้ความรักครั้งใหม่นี้… อยู่เคียงคู่กันไปอย่างยืนยาว… ไม่ว่าจะต้องฝ่าฟันอะไรก็ตาม”
เสียงปรบมือดังลั่นทั่วห้องอีกครั้ง บ่าวสาวยิ้มขอบคุณ แต่เพียงแค่หันหลังลงเวที รอยยิ้มของแม่เล็กก็แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง สายตาที่ทอดมองเจ้าสาวเต็มไปด้วยความริษยาที่ปิดไม่มิด
"แก่มาแย่งพี่ภัควัฒน์ไปจากฉัน... แก่ได้เห็นดีแน่"
แม่เล็กเพิ่งก้าวลงจากเวทีหลังกล่าวคำอวยพร แขกหลายคนยังยกแก้วไวน์เข้ามาชื่นชมในวาทศิลป์ของเธอ รอยยิ้มอ่อนหวานยังประดับบนใบหน้า แต่ทันทีที่สายตาเหลือบไปเห็น ร่างสูงของภีมร์ภัทร์นั่งอยู่มุมโซฟาไม่ไกล รอยยิ้มก็แปรเปลี่ยนอย่างแนบเนียน
เธอปลีกตัวจากกลุ่มแขก แล้วก้าวฉับตรงเข้าหาหลานชายทันที
“ภีมร์…” เสียงหวานเอ่ยต่ำ แฝงความร้อนรน “แม่เล็กบอกแล้วใช่ไหมล่ะ ว่าผู้หญิงคนนั้นมันใช้เล่ห์มารยา”
ภีมร์ภัทร์ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอีกอึก แววตาที่แดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ สะท้อนความเกลียดชังชัดเจน
แม่เล็กย่อตัวลงนั่งใกล้ๆ เอียงหน้ามากระซิบข้างหู “ดูสิ… เพิ่งแต่งก็มีลูกสาววัยรุ่นโผล่มาเดินอวดโฉมในงานแล้ว …พรุ่งนี้ถ้าเธอเข้ามาเป็น น้องสาวต่างแม่ ของภีมร์จริงๆ จะไม่ยิ่งแย่งทุกอย่างจากลูกเหรอ?”
คำพูดนั้นเหมือนน้ำมันราดลงบนไฟ ที่โหมอยู่ในอก ภีมร์กำแก้วไวน์แน่น จนเส้นเลือดปูดขึ้นบนหลังมือ
เสียงทุ้มต่ำลอดไรฟัน “แม่เล็กหมายถึง… ลูกสาวคนนั้นเหรอ”
แม่เล็กยิ้มมุมปาก แววตาพิษร้ายวาววับ “ใช่...”
แม่เล็กเพิ่งพูดจบ สายตาก็สะดุดเข้ากับร่างบางที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอเอี้ยวหน้า กระซิบชิดหูภีมร์ภัทร์ทันที
“นั่นไง… ลูกสาวมัน นักศึกษามหาวิทยาลัยดัง ถ้าไม่เกาะคุณพ่อของภีมร์… จะมีปัญญาเรียนได้เหรอ? ทั้งแม่ทั้งลูกมันก็หลอกลวงเหมือนกันหมด”
ดวงตาคมของภีมร์ภัทร์แข็งกร้าวขึ้นทันที เขาก้มมองหญิงสาวที่ก้าวผ่านไปด้วยท่าทางอ่อนหวานสง่างาม แต่ในสายตาเขากลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ริมฝีปากหยักกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น “ดี… อย่างน้อย เธอก็จะได้รู้เสียที ว่าการถูกหลอก ถูกแย่ง ถูกทำร้ายใจมันเป็นยังไง…”
เขากดแก้วไวน์ลงกับโต๊ะ กึก! ก่อนจะลุกขึ้นยืน ร่างสูงเซเล็กน้อยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่แววตากลับดุดันราวพายุ
“ภีมร์… จะไปไหนลูก? ลูกเมาหนักแล้วนะ” แม่เล็กลุกตาม พยายามรั้งไว้
เขาหันมาสบตา แววตาคมวาวโรจน์ “เดี๋ยวผมมาครับแม่เล็ก… ไม่ต้องห่วง”
“แต่ลูก… ยังไม่ได้ไปอวยพรคุณพ่อเลยนะคะ พ่อยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภีมร์มาถึงแล้ว!”
แต่ภีมร์ไม่สนใจ เขาเพียงทิ้งคำสั้นๆ เสียงต่ำ “ถ้าไม่เห็น… แปลว่าผมขึ้นไปบนห้องแล้ว”
พูดจบก็สะบัดหน้าเดินหายลับไป ทิ้งให้แม่เล็กยืนยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เพราะรู้ดีว่าไฟในใจหลานชาย ได้ถูกจุดขึ้นเรียบร้อยแล้ว…
พลับเพากำลังเดินก้าวอ้อยอิ่งจากห้องน้ำ ดวงตาเพลินไปกับบรรยากาศงาน แต่แล้ว… ร่างสูงของภีมร์ภัทร์ก็ก้าวเข้ามาเบียดเธอไว้ทันที
"เอ๊ะ… คุณทำอะไรเนี่ย!?” พลับเพาตกใจ ปากสั่นเถียง แต่สายตาของเขาเย็นชา ดุราวกับพายุ
"ทางเดินตั้งกว้างคุณมาเบียดฉันทำไม่"
ก่อนที่เธอจะตั้งตัวทัน ภีมร์เพียงเอื้อมมือรวบเอวบางของเธอแน่น ร่างสูงชะงักเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะอุ้มเธอพาดบ่าอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยนะ! ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้! ฉันไม่ได้ยินหรือไง!” พลับเพาโวยวาย พยายามดิ้นรน แต่แรงของเขามหาศาลเกินกว่าจะต่อต้าน
“ไม่ต้องดิ้น… วันนี้เธอจะได้รู้สึก… ว่าการถูกแย่ง ถูกหลอก มันเป็นยังไง”
เสียงทุ้มต่ำ แฝงความเกรี้ยวกราดและความเจ็บปวดที่กักเก็บมานาน
พลับเพาเถียงไม่ออก มือขาวยกขึ้นปัดป้อง แต่ไม่สามารถต้านแรงภีมร์ได้ เขาเดินตรงไปในลิฟต์กดขึ้นชั้นห้องส่วนตัวของตัวเอง ร่างบางพาดอยู่บนบ่าของเขา ราวกับเป็นของเล่นที่เขาเลือกไว้
"นายเป็นใคร... ปล่อยนะ ฉันบอกให้ปล่อยไง"
แขกบางคนหันมามองด้วยความตกใจ แต่ไม่มีใครกล้าขัดใจผู้ชายร่างสูงตรงหน้า
"สงสัยงอนกันแน่ๆ... เด็กๆ สมัยนี้งอแงเก่ง สวยหล่อทั้งคู่น่าเอ็นดู"
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ดร.ภรรณิภาเริ่มมองหาลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“คุณภัค… พลับหายไปไหนนานแล้ว ดิฉันไม่เห็นลูกเลยค่ะ” เสียงหวานแฝงความกังวล
ไม่นาน พลับเพาก็ปรากฏตัวกลับมาในโถงงาน ชุดราตรียาวสีพาสเทลยับเล็กน้อยจากการเคลื่อนไหว แต่เธอก้าวยืนตรง แข็งเข็งเก็บอาการได้อย่างดีเยี่ยม
ดร.ภรรณิภามองลูกสาว รอยยิ้มหวานคลายกังวลลงบ้าง
“ไปไหนมาลูก?”
พลับเพาตอบเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย
“หนู… ไปเข้าห้องน้ำมาค่ะ อะไรเข้าตาไม่รู้ค่ะ คุณแม่”
ดร.ภรรณิภาเอียงหน้า มองชุดลูกสาวแล้วพยักหน้าเบาๆ
“ป่ะ… งานเลี้ยงจะจบแล้ว พวกเรากลับห้องพักกันเถอะค่ะ พรุ่งนี้เช้าจะได้ไปตักบาตรด้วยกัน”
พลับเพาพยักหน้ารับเบาๆ ยิ้มแผ่วๆ แต่ในใจยังคงมีรอยปะทะจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่จาง…
เช้าวันถัดมา ห้องพักโรงแรม
พลับเพาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยในชุดเรียบร้อย พร้อมสำหรับการไปตักบาตรที่วัด
ดร.ภรรณิภาก้าวเข้ามา เห็นลูกสาวหน้าซีด
“พลับเพา… หนูเป็นอะไรหรือเปล่าลูก? หน้าดูแลซีดจังเลยนะคะ”
พลับเพาพยายามยิ้มบางๆ
“หนูไม่เป็นอะไรค่ะ แค่… ปวดท้องประจำเดินจีดๆ นิดหน่อยเองค่ะ คุณแม่”
ดร.ภรรณิภากังวลแต่พยักหน้า
“อือ… งั้นก็เอาเถอะ แม่ให้ลูกพักสักนิดก็ได้นะ แต่ถ้ารู้สึกไม่ดีตรงไหน บอกแม่ทันทีนะคะ”
“ค่ะ… หนูโอเคแล้วจริงๆ ค่ะ คุณแม่ ไม่ต้องเป็นห่วง”
พลับเพายกกระเป๋าเล็กแล้วก้าวออกจากห้องไปอย่างมั่นใจ แต่ดวงตายังคงแฝงความระวังเอาไว้ ไม่ให้ใครเห็นความอ่อนแอของเธอ
ดร.ภรรณิภาถอนหายใจเบาๆ
“ก็ได้… งั้นเราไปตักบาตรที่วัดกันเถอะลูก เดี๋ยววันนี้จะสายเกินไป”
ระหว่างทางไปวัด...
รถกำลังวิ่งอยู่บนถนน พลับเพาเหม่อมองนอกหน้าต่างด้วยความคิดฟุ้งซ่าน