ตอนที่ 6
วิวาห์สวมรวย
มินตรานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องพักที่คฤหาสน์หรูหราของคุณสันติที่ตอนนี้หญิงสาวฝึกเรียกจนติดปากว่าพ่อ
ใบหน้าสวยที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาตรงหน้า ไม่ใช่ตัวเธอเองอีกต่อไปแล้ว ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมเพิ่งจะจากไป หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสอนการแปลงโฉมเธอให้เป็นมันตรา
ตอนนี้ใบหน้าของมินตราถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพง เธอดูสวยหวานและมีเสน่ห์ รอยยิ้มที่เคยอ่อนหวานกลายเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสีเสน่ห์เย้ายวน
ช่วงเวลาที่ผ่านมาหญิงสาวเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันตราอย่างหนักและเชื่อได้เลยว่าไม่มีใครรู้ความลับนี้ของเธอแน่นอน เธอสวมชุดเดรสสีรัดรูปของมันตรา เสื้อผ้าที่ไม่คุ้นเคยนี้ทำให้มินตราดูกลายเป็นคนละคนและนั่นคือสิ่งที่คุณสันติและครูฝึกต้องการ ทุกอย่างในตอนนี้มันดูสมบูรณ์แบบมาก
หญิงสาวเธอรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพียงแค่ภายนอกแต่ภายในจิตใจของเธอยังคงเป็นมินตราครูสาวบ้านนอกผู้เรียบง่าย ที่ยังคง สึกอึดอัดกับบทบาทที่ตัวเองต้องแสดง
“เป็นยังไงบ้างล่ะวันนี้” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากหน้าประตู คุณสันติเดินเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เขามองสำรวจมินตราตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความพึงพอใจ
“เหมือนไหมคะพ่อ" มินตราเรียกคุณสันติตามที่ถูกฝึกมา พร้อมกับพยายามปรับสีหน้าให้ดูมั่นใจและมีเสน่ห์ตามแบบของมันตรา
“ดีมากหนูมิน ดูเหมือนหนูจะปรับตัวได้ดีขึ้นมากจริงๆ” คุณสันติกล่าวชมเชย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพอใจ
“ขอบคุณค่ะ” มินตราตอบเสียงเรียบ เธอรู้สึกเหนื่อยล้ากับการแสดงบทบาทนี้มาตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“พรุ่งนี้ก็ถึงวันแต่งงานแล้วนะ” คุณสันติเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความคาดหวัง
“มันเร็วมากเลยนะคะ”
“หนูรู้ใช่มั้ยว่าต้องทำทุกอย่างให้เนียนที่สุด ห้ามมีข้อผิดพลาดเด็ดขาด”
“มิ้นต์จะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ” มินตราตอบอย่างหนักแน่น เธอรู้ดีว่าเธอถ้าวันพรุ่งทุกอย่างมันผ่านไปได้ด้วยดีเงินก้อนแรกจะถูกโอนให้กับป้าจันทร์เพื่อไปใช้หนี้ร้านปุ๋ยในตลาด
“วันนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่และทำใจให้สบายนะ”
“พรุ่งนี้จะไม่มีใครจับได้ใช่ไหมคะ แขกคงมากันเยอะ”
“ยิ้มให้เยอะพูดให้น้อยถ้าใครถามก็บอกไปว่าเพราะตื่นเต้น ตกลงไหมล่ะ”
“ค่ะ แล้วงานนี้เพื่อนของมันตราจะมาด้วยไหม” เธอกลัวตรงนี้เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครพูดถึงเพื่อนสนิทของมันตราเลย
“ไม่หรอกมันตราไม่มีเพื่อนที่เมืองไทยเท่าไหร่ เธอไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็กน่ะ”
คำพูดของคุณสันติทำให้เธออดเปรียบเทียบตัวเองกับแฝดน้องไม่ได้ ครอบครัวนี้ร่ำรวยมากจึงได้เลี้ยงเธอราวกับเจ้าหญิง
“ลุงไปนะ” คุณสันติเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้มินตราอยู่ตามลำพังกับความคิดของตัวเอง
เธอเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่และมองออกไปเห็นแสงไฟ ในยามค่ำคืนความรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนที่เข้ามาอยู่ในเมืองที่ไม่คุ้นเคย
หญิงสาวหยิบรูปถ่ายที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าเดินทางออกมา รูปถ่ายของป้าจันทร์และลุงชิดที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขในวันที่เธอรับปริญญาเมื่อสามปีก่อน ภาพเหล่านั้นเป็นเหมือนพลังใจเดียวที่ทำให้เธอก้าวเดินต่อไปในเส้นทางที่ยากลำบากนี้ เธอสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านทั้งสองต้องผิดหวัง
เช้าวันแต่งงานมินตราตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งกังวลสับสนและตื่นกลัว เมื่อคืนหญิงสาวนอนไม่หลับเลย ถ้าจะนับจริงๆ ก็หลับไปเพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น
วันนี้คือวันแต่งงานของเธอแต่ไม่ใช่ในฐานะมินตราแต่เป็นในฐานะมันตราว่าที่เจ้าสาวของกวินภพมหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพล
ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมมาถึงตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเตรียมความพร้อมให้เธอ
มินตรานั่งนิ่งปล่อยให้พวกเขาทำงานกันอย่างเต็มที่ ขณะที่ตัว เธอพยายามสงบจิตใจและทบทวนสิ่งที่ครูฝึกได้สอนมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การพูด การใช้สายตาและบุคลิกของมันตรา รวมถึงแขกผู้ใหญ่ที่เธอได้ดูรูปและท่องมาจนจำขึ้นใจว่าใครเป็นใครหญิงสาวต้องจำไว้เสมอว่าวันนี้เธอคือมันตราสาวสวยนักเรียนนอกลูกสาวคนเดียวของคุณสันตินักธุรกิจใหญ่
คุณสันติเดินเข้ามาในห้องใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและคาดหวัง
“พร้อมนะหนูมินตรา” คุณสันติถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
"พร้อมค่ะคุณพ่อ" มินตราหันมาตอบด้วยรอยยิ้มหวาน เธอพยายามแสดงออกถึงความมั่นใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขบวนรถหรูจำนวนหลายคันแล่นออกจากคฤหาสน์ มุ่งหน้าไปยังโบสถ์เล็กๆ ที่จัดงานแต่งงาน
บรรยากาศภายในรถเงียบสงบ มินตรานั่งนิ่งมองออกไปนอกกระจก เธอเห็นผู้คนมากมายที่กำลังสัญจรไปมาบนท้องถนน บางคนอาจจะกำลังมีความสุข บางคนอาจจะกำลังทุกข์ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเธอกำลังเผชิญหน้ากับชะตากรรมอะไรอยู่
เมื่อรถมาถึงโบสถ์มินตราก้าวลงจากรถอย่างสง่างาม โดยมีคุณสันติประคองอยู่ข้างๆ แสงแดดยามสายกระทบลงมาที่ชุดเจ้าสาวที่ประดับด้วยคริสตัลทำให้เธอดูเปล่งประกายระยิบระยับ
แขกส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่และนักธุรกิจคนสำคัญที่มาร่วมแสดงความยินดี พวกเขามองมาที่เธอด้วยสายตาชื่นชม มินตราพยายามส่งยิ้มตอบกลับไปให้ทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ในใจของเธอท่องอยู่ตลอดว่ามันคือการแสดงและเธอคือนักแสดงที่เก่งที่สุดในงานนี้เลยก็ว่าได้
มินตราเดินไปตามทางเดินกลางโบสถ์ที่ปูพรมสีแดง ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย หญิงสาวพยายามเดินอย่างมั่นใจและเชิดหน้าตามที่ครูฝึกสอนมา เธอเห็นกวินภพยืนรออยู่ตรงแท่นพิธีในชุดสูทสีดำสนิทเขาดูสง่างามแต่ก็ยังดูเย็นชาอย่างเดิม
กวินภพจับจ้องไปที่เจ้าสาวตั้งแต่เริ่มเดินเข้ามา แววตาของชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่มีความยินดี ไม่มีความรักแต่ก็มีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากเมื่อเห็นว่าวันนี้เจ้าสาวของเขานั้นสวยมากแค่ไหน
เขากับมันตราเจอกันแทบจะนับครั้งได้และทุกครั้งก็ไม่เคยได้จ้องหน้าเธอนานขนาดนี้มาก่อน แค่วันนี้เขามีเวลามองเธอนานมากระหว่างที่บิดาของเธอกำลังพาเธอเดินมาอย่างช้าๆ ความสวยของเจ้าสาวสะกดสายแต่แขกทุกคนที่อยู่ในงาน
เมื่อเธอเดินไปถึงแท่นพิธี คุณสันติก็ส่งมือของเธอให้กับกวินภพ ชายหนุ่มจับมือเธอไว้ เพียงแค่สัมผัสเบาๆ หัวใจของมินตราก็เต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้
พิธีแต่งงานดำเนินไปอย่างเรียบง่าย บาทหลวงกล่าวคำอวยพรและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่ มินตราและกวินภพกล่าวคำสาบาน เธอพยายามบังคับเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นและสบตากับเขาอย่างมั่นคงตามที่ถูกฝึกมา
“คุณจะรับกวินภพเป็นสามี และจะรักซื่อสัตย์ปรนนิบัติทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ในยามป่วยไข้และสบาย จนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่” บาทหลวงถาม
“รับค่ะ” มินตราตอบด้วยความไม่มั่นใจแต่ก็พยายามจะยิ้มให้กับชายตรงหน้า เธอซ่อนความหวั่นไหมไว้ภายใต้รอยยิ้มหวานที่ส่งให้
“คุณจะรับมันตราเป็นภรรยาและจะรัก ซื่อสัตย์ปรนนิบัติทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ในยามป่วยไข้และสบาย จนกว่าชีวิตจะหาไม่หรือไม่” บาทหลวงถามกวินภพ
“รับครับ” กวินภพตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็แลกเปลี่ยนแหวนแต่งงานกัน แหวนเพชรเม็ดงามส่องประกายระยิบระยับบนนิ้วนางข้างซ้ายของมินตรา มันเป็นแหวนที่บ่งบอกถึงสถานะใหม่ของเธอ สถานะของภรรยาของมหาเศรษฐี สำหรับคนอื่นมันสัญลักษณ์ของความรักและการเริ่มต้นใหม่แต่สำหรับเธอแล้วมันคือพันธนาการที่เธอต้องแบกรับไว้
เมื่อพิธีจบลงแขกเหรื่อต่างปรบมือแสดงความยินดี มินตราและกวินภพถ่ายรูปคู่กับครอบครัวและแขกผู้ใหญ่ คุณสันติยิ้มอย่างพึงพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้