หลังจากที่ขึ้นมาบนรถคุณเหมันต์ ฉันก็เอาแต่นั่งตัวเกร็งไม่ขยับ เพราะภายในรถมันช่างหรูหราเสียจนไม่กล้าแตะสัมผัสกับสิ่งใด เขาเองก็ดูจะเป็นคนหวงรถเอามาก ๆ ด้วย ขนาดปิดประตูยังย้ำแล้วย้ำอีกให้ปิดเบา ๆ
“เอ่อ... อีกไม่กี่วันจะถึงงานเลี้ยงพนักงานแล้ว คุณเหมันต์ให้ประกาศเลยไหมคะ”
นั่งอยู่สักพักใหญ่ ๆ ในที่สุดฉันก็เป็นฝ่ายเอ่ยชวนเขาคุยก่อน เพราะภายในรถมันเงียบจนเริ่มได้ยินเสียงความอึดอัด
“จัดการเลย แล้วปกติเลี้ยงกันที่ไหน”
“เลี้ยงที่โรงแรมคุณราชันย์ค่ะ”
“ทุกปีเลยเหรอ”
เขาถามโดยไม่หันมามอง เพราะกำลังตั้งใจขับรถอยู่
“ค่ะ”
“ไปที่เดิม ๆ ทุกปี ไม่เบื่อหรือไง”
“อืม... แล้วแต่คนค่ะ บางคนก็ไม่เบื่อ”
“แล้วเธอเบื่อหรือเปล่า”
คนหน้าพวงมาลัยปรายหางตามามองฉันเล็กน้อย ฉันจึงรีบส่ายหน้าระรัว โรงแรมคุณราชันย์อยู่ไม่ไกล เลิกดึกแค่ไหนฉันก็ขับรถกลับบ้านได้ แถมยังหรูหรามากด้วย ได้เหยียบปีละครั้งก็ถือว่าเป็นบุญ
“ไม่เบื่อ หรือแค่เกรงใจฉัน”
“ไม่เบื่อจริง ๆ ค่ะ แต่กับคนอื่นที่อยู่นานกว่าฉันเขาก็มีเบื่อ ๆ บ้าง อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปทะเลหรืออะไรทำนองนั้น”
“ทะเลเหรอ?”
เขาพึมพำเสียงเบาพลันดันลิ้นใส่กระพุ้งแก้มอย่างครุ่นคิด เงียบอยู่พักหนึ่งก็หันมาถามฉัน
“บางแสนไหม”
“คะ?”
“ไอ้ราชันย์มันเปิดโรงแรมใหม่ที่นั่น แต่ยังไม่เปิดเป็นทางการเลยยังไม่มีใครจองห้องพัก ไม่งั้นคงเต็มหมดแล้ว มันจะเปิดจริงจังช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ถ้าเราไปจัดงานที่นั่นก็น่าจะมีห้องพักเพียงพอต่อพนักงานของเรา”
“กะ ก็ดีค่ะ”
ฉันอึกอักเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะอยากไปอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าฉันไป ใครจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่ฉันล่ะ?
“งั้นพรุ่งนี้ก็ทำใบขออนุญาตมายื่นผมซะ”
“ได้ค่ะ”
ฉันตอบกลับพลางยิ้มบาง ๆ แม้จะอยู่ภายใต้แมสก์สีขาว และเขาไม่มีทางได้มองเห็นรอยยิ้มนี้แน่
“เธอสนิทกับทุกคนในบริษัทไหม”
“สนิทค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“พอจะรู้ไหมว่าใครปล่อยข่าวลือเรื่องที่ฉันแอบซุกเด็กในบริษัทแล้วยัดตำแหน่งให้เงียบ ๆ”
“...”
หากฉันไม่ได้สวมใส่แมสก์ อีกฝ่ายคงได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของฉันแน่
“เอ่อ... มะ ไม่รู้เลยค่ะ มีข่าวแบบนี้ด้วยเหรอคะ ฉันไม่เห็นได้ยินเลย”
ฉันแสร้งตีมึน ทั้งที่ตอนนี้หน้าเริ่มชาวาบไปหมด กลัวจนใจสั่นระรัว ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงได้เอ่ยถาม หรือว่า... เขาจะรู้แล้วว่าต้นตอข่าวลือมาจากฉัน
“เธอได้ยินแล้วรู้สึกยังไง”
อีกฝ่ายหันมามองฉันเล็กน้อย แล้วหันกลับไปจ้องถนนตามเดิม
“ฉันไม่ค่อยเชื่อข่าวลือหรอกค่ะ”
“หึ สมกับเป็นคนโปรดของพ่อฉันแล้วละ”
อีกฝ่ายกระตุกยิ้ม ไม่รู้ว่ากำลังชื่นชม หรือแสดงอาการประชดประชันอยู่กันแน่
“แล้วคุณเหมันต์ล่ะคะ จะเอายังไงกับข่าวลือนี้”
“ไม่รู้สิ คิดว่าเรื่องที่ไม่มีมูลมันคงซาไปเองมั้ง แต่เท่าที่ดูแล้วไม่น่าจะซาลงง่าย ๆ ขนาดคุณเฑียร์ที่เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นยังรู้เรื่องเลย”
โอ้โหห! ตาย ๆ ๆ ทำไมมันถึงได้หนักขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้
“ละ แล้วถ้าคุณเหมันต์รู้ตัวคนปล่อยข่าว จะทำยังไงต่อเหรอคะ”
“ฉันก็คงจะลากคอมานั่งไลฟ์สด ขอโทษที่สร้างเรื่องปัญญาอ่อนนี้ขึ้นมา แล้วก็เตะมันเข้าคุกซะ”
“...”
ถ้าจะทำกันขนาดนี้ หักพวงมาลัยลงคลองน้ำตอนนี้เลยก็ได้ ฮืออ ทำไมต้องลงโทษกันแรงขนาดนี้ด้วยเล่า ฉันแค่ปากพล่อยเอง
พอเริ่มเครียดจากสิ่งที่ได้ฟัง ฉันก็เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ประจวบเหมาะกับที่คุณเหมันต์ขับรถมาส่งฉันถึงหน้าบ้านพอดี จริง ๆ ก็บอกให้เขาส่งแค่ทางเข้าหมู่บ้านนั่นแหละ แต่เขาคงเห็นว่าระหว่างทางมันเงียบมาก แถมบ้านฉันก็ขับเข้ามาอีกไม่ไกล จึงอาสามาส่งถึงที่
“ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง”
ฉันเอ่ยขอบคุณก่อนจะเอี้ยวตัวปลดเข็มขัดนิรภัย แต่ดันซวยที่ปุ่มล็อกมันดันไปคล้องกับสายกระเป๋าจนดึงออกไม่ได้ ฉันเลยต้องออกแรงกระชากอยู่นาน แต่มันก็ไม่เป็นผล
“อยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวฉันดึงเอง”
อีกฝ่ายคงกลัวว่าฉันจะทำรถของเขาพัง ถึงได้รีบเอี้ยวตัวมาจับมือฉันไว้ และใช้วิธีค่อย ๆ ปลดสายกระเป๋าออกอย่างระมัดระวัง
ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้มาก มากเสียจนใบหน้าของเขาห่างออกไปไม่ถึงคืบ กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยทะลุแมสก์จนสมองฉันแทบหลุดลอย ทำไมถึงได้มีเสน่ห์ขนาดนี้นะ
“ได้แล้ว”
เขาเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับละสายตาจากกระเป๋า ก่อนจะปะทะสายตากับฉันในระยะใกล้ นาทีนี้เหมือนหัวใจมันเริ่มเต้นโครมครามอย่างหนัก ฉันก็อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูก รู้แค่เพียงมันเขินจนอยากหลบสายตา แต่มันก็เหมือนมีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้ฉันไม่สามารถละออกไปจากดวงตาลุ่มลึกดังห้วงมหาสมุทรยามวิกาลนี้ได้
“ใส่คอนแทกต์เลนส์ด้วยเหรอ”
“เอ่อ... ค่ะ”
ฉันอึกอักแล้วรีบเบนหน้าหลบ คุณเหมันต์ถึงได้ขยับตัวออกห่าง
“สายตาสั้นเหรอ เห็นวันแรกใส่แว่นตานี่”
“ใช่ค่ะ ถ้างั้นฉันเข้าบ้านก่อนนะคะ”
“อืม”
ยิ่งอยู่ต่อก็ยิ่งวางตัวไม่ถูก ฉันจึงรีบเปิดประตูออกมาจากรถ และทันได้เห็นว่าตอนนี้ยัยป้าข้างบ้านกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ จวนจะสองทุ่มแล้ว มายืนรดน้ำอะไรตรงนี้เนี่ย คงอยากจะเข้ามาสอดรู้สอดเห็นสิท่า ดีละ ฉันจะได้อวดไปเลยว่าประธานบริษัทขับรถหรูมาส่งฉันถึงที่
“ขอบคุณมากนะคะคุณเหมันต์”
เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น พร้อมกับโบกไม้โบกมือส่งให้อีกฝ่าย จากนั้นก็ยืนยิ้มรอกระทั่งรถหรูสีดำเงาวับขับเคลื่อนออกไปจนสุดสายตา
“อ้าว ลิสา ทำไมวันนี้กลับค่ำจังเลยล่ะ”
เสียงเอ่ยทักทายดังมาจากเพื่อนบ้านที่ยืนแอบมองอยู่ตอนไหนก็ไม่รู้
“พอดีแฟนชวนไปกินอาหารญี่ปุ่นน่ะค่ะ”
“เหรอ นั่นคุณเหมันต์ใช่ไหม”
แหมมม จำชื่อได้แม่นเชียวนะป้า
“ค่ะ คุณเหมันต์ ประธานบริษัทนั่นแหละ”
ฉันยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับเดินร่าเข้าบ้าน เป็นไงล่ะป้า ถึงกับอึ้งไปเลยสิ นี่แค่แฟนปลอม ๆ นะ ถ้าฉันได้คุณเหมันต์มาเป็นแฟนจริง ๆ ละก็... ไม่อยากนึกเลยว่าจะขิงยัยป้านี่กลับได้ฟินขนาดไหน