แม่เลี้ยงเดี่ยว

1455 Words
6 แม่เลี้ยงเดี่ยว “เหนื่อยจัง หิวจนไส้กิ่วแล้วเนี่ย คุณป้ามาลัยคนงามมีอะหยังฮื้อหลานสาวคนนี้กิ๋นก่อเจ้า” พิณลดาเดินบิดขี้เกียจเข้ามาในบ้าน สำเนียงภาษาเหนือแปร่งๆ ดังขึ้นก่อนตัวจะปรากฏให้ป้ามาลัยเห็นเสียอีก “เป็นแม่ย่าแม่หญิงหาวก็บ่ปิดปากน้อ (เป็นผู้หญิงหาวก็ไม่ปิดปาก) ” “ดูไม่งามเหรอจ๊ะ” พิณลดาวางกระเป๋าไว้บนพื้นแล้วเลื่อนเก้าอี้นั่งที่โต๊ะอาหาร เท้าคางมองพี่สาวฝาแฝดของบิดาที่ยกสำรับมาเสิร์ฟโดยที่เธอไม่ได้เอ่ยปากอาสาช่วย ไม่ใช่พิณลดาเกียจคร้านหรือไร้น้ำใจ แต่เพราะมาลัยห้ามไม่ให้หลานหยิบจับช่วยเหลือหลังกลับจากทำงาน มาลัยแค่อยากให้หลานเหนื่อยน้อยที่สุด อยู่โรงพยาบาลทำงานตัวเป็นเกลียวแล้ว ดังนั้นงานที่บ้านมาลัยจะรับหน้าที่เองทั้งหมด ยินดีปฏิบัติให้หลานรักอยู่สุขสบายดุจคุณหนู “ใช่สิจ๊ะ มันดูไม่งาม ปีหน้าก็จะสามสิบแล้วไม่ใช่เหรอ ห้าวๆ เซี้ยวๆ ความเป็นกุลสตรีติดลบแบบนี้เลยไม่มีใครมาขอสักที เฮ้อ! เมื่อไหร่หลานสาวคนสวยของป้าจะขายออกสักทีล่ะเนี่ย... อ้าวๆ ทำอะไรนั่นยัยพิณ อ๊าย! วางเลย ฉันรับไม่ได้” ป้ามาลัยถึงกับอ้อมโต๊ะมาตีมือ เมื่อพิณลดาเล่นตักข้าวในหม้อแล้วกินมันทั้งทัพพี “ไปตายอดตายอยากมาจากไหน ตานพนี่เลี้ยงลูกสาวยังไงให้มันเป็นอย่างนี้เนี่ย” “ป้าอย่ามาว่าพ่อหนูนะ พ่อหนูเป็นคนดีห้ามแตะต้อง” “ย่ะ! เอาพ่อเอ็งใส่พานแล้ววางไว้บนหิ้งเลยนะ แล้วก็วางทัพพีลงเลย ก็แม่มันเป็นอย่างนี้ไงยัยหนูฮันนี่ถึงแก่นแก้วไม่เรียบร้อยสักที” ป้ามาลัยเดินบ่นไปเอาทัพพีคันใหม่แล้วกลับมายืนค้ำศีรษะหลานสาวที่ยิ้มแป้นแล้นใส่ “หนูเรียบร้อยจะตาย เคยประกวดหนูน้อยมารยาทงามได้ที่หนึ่งด้วยนะ” “เมื่อตอนเจ็ดขวบน่ะเหรอ อิโธ่! ผ่านมาเป็นชาติทำมาเป็นคุย โตมาอย่างกับม้าดีดกระโหลก หน้าตาก็สวยหวานคือเอกลักษณ์ของสาวเหนือโดยแท้ แต่อย่าให้อ้าปากพูด อย่าให้เคลื่อนไหวเชียวนะ สมัยนี้เขาเรียกว่าสวยแบบภาพนิ่งใช่ไหม” “แหม ทันสมัยนะคนแก่เดี๋ยวนี้ เข้าถึงโซเชียลแล้วก็งี้แหละเนอะ” พิณลดาแซวก่อนมองไปทางบันไดที่เชื่อมสู่ชั้นสอง เธอได้ยินเสียงฝีเท้าตึงตังอยู่ครู่ใหญ่แล้ว แต่ลูกๆ ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็นเสียที “ว่าแต่พ่อยังไม่ตื่นเหรอคะ หรือว่าไปขับรถแล้ว” “คนขยันอย่างมานพมันออกไปตั้งแต่ตีสี่แล้ว ไม่รู้มันจะขยันไปไหน เงินทองก็พอมีใช้ไม่ขัดสนแล้ว” ป้ามาลัยบ่นพลางเลื่อนเก้าอี้นั่งข้างหลานสาว ก่อนหน้านี้มาลัยใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงรายมาตั้งแต่เกิดยันแก่ กระทั่งมานพชวนมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกันเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน แรกทีเดียวมาลัยปฏิเสธเพราะเธอกลัวการเริ่มต้นใหม่ ไม่อยากปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย แม้รู้สึกเหงา สามีก็จากไปอยู่ปรโลกได้สิบห้าปีแล้ว ส่วนลูกชายเพียงคนเดียวก็ได้ทุนไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่อายุสิบเก้าปี จนตอนนี้แต่งงานมีลูกสองคนก็ไม่กลับมาหามาลัยอีกเลย เธอใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา บ่อยครั้งหลับไปพร้อมน้ำตา สาเหตุเพราะคิดถึงคนที่จากไป ห่วงใยคนไกลที่ไม่หวนกลับมาเยี่ยมเยียน ได้ยินเพียงเสียงที่โทร.ทางไกลมาเดือนละครั้ง กระทั่งมานพแจ้งว่าพิณลดาพลาดท้องและให้กำเนิดลูกแฝด เมื่อนั้นมาลัยจึงเก็บข้าวของแล้วย้ายมาอยู่กับน้องชายฝาแฝดที่เมืองกรุง ปัจจุบันเธอมีความสุขและยิ้มได้วันละหลายครั้ง เจ้าแฝดก็รักคุณยาย พิณลดาก็ช่างฉอเลาะเอาใจ เพื่อนบ้านที่เพิ่งทำความรู้จักกันก็แสนดีไม่เย่อหยิ่งอย่างที่คาดไว้ในตอนแรก “ก็พ่อเอาแต่พูดว่าจะเก็บเงินไว้ส่งเสียฮันเตอร์กับฮันนี่ ซึ่งหน้าที่นั้นมันเป็นของหนูอยู่แล้ว พ่อไม่จำเป็นต้องทำงานสายตัวแทบขาดเลย” อีกอย่างเงินที่เคยได้มาหกล้านก็ยังมีเหลือเก็บหลังส่งเสียเธอจนเรียนจบแพทย์ สิบเอ็ดปีก่อนหลังจากพิณลดาตัดสินใจเก็บเด็กไว้ เธอก็ทำการดรอปเรียนหนึ่งปี บิดาขายที่ดินที่บ้านเกิดได้เงินมาอีกก้อนใหญ่จึงนำมาซื้อบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดสี่ห้องนอน ซื้อรถยนต์มือสองให้ลูกสาวใช้ขับไปเรียน ซึ่งปัจจุบันพิณลดาก็ยังขับคันเดิม แม้มีปัญหาเข้าอู่บ่อยก็ยังไม่คิดเปลี่ยน จริงอยู่ที่เธอมีเงินเดือน กระนั้นก็ยังไม่มากพอจะสุรุ่ยสุร่าย ไหนจะเด็กเล็กสองคนที่อยู่ในวัยเรียน มานพก็ไม่ชอบนั่งนอนอยู่บ้านเฉยๆ เขามีอาชีพจากการขับรถแท็กซี่ซึ่งตอนนี้ก็ทำมาเข้าปีที่สิบเอ็ดแล้ว “ปล่อยมันเถอะ พ่อเอ็งมันยังมีแรงเหลือเฟือก็ปล่อยให้ทำงานไป” “ตอนนี้พ่อก็ห้าสิบแปดแล้วนะคะ งานขับแท็กซี่ก็ดูเหนื่อยไม่เบา พิณว่าจะแนะให้เขาเพลาๆ ลงบ้าง” “พ่อเราเขาทำงานมาตั้งแต่จบม.หก เป็นคนขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ ทำงานจนชินชาไปแล้ว ครั้นจะให้อยู่บ้านเลี้ยงหลานเฉยๆ มันก็คงเบื่อ เอาไว้อีกสักปีสองปีมันคงเลิกขับแท็กซี่เองแหละ” “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ” “แม่หมอมาแล้วๆ” ฮันนี่ยิ้มแป้นวิ่งลงบันได ก่อนเบรกตัวเอี๊ยดเมื่อคุณยายมาลัยหรี่ตาดุ ฮันนี่ราวกับได้ยินเอ็ดผ่านโทรจิตว่า ‘บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้วิ่งลงบันได’ เด็กหญิงยิ้มแหยตาหยีแล้วเท้าเอวเดินจิกปลายเท้าเหมือนนางงาม “ดูดู๊ ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ของจริง จะประชดยายเหรอฮันนี่” “เปล่านะคะ หนูกำลังเดินให้คุณยายดูว่าหนูเรียบร้อยและสง่างาม” ฮันนี่หัวเราะคิกคักแล้วตรงมากอดเอวมารดา “คิดถึงแม่หมอจังเลย” “คิดถึงยัยลูกสาวคนสวยสุดหัวใจเลย ว่าแต่เมื่อไหร่จะเลิกเรียกว่าแม่หมอเนี่ย เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าก็เข้าใจว่าแม่เป็นหมอดูอีกหรอก” “ก็น่ารักดีออก ถ้าใครเข้าใจผิดเดี๋ยวฮันนี่จะแก้ให้เองค่ะว่าคุณแม่เป็นกุมารแพทย์” “จ้าๆ เอาตามที่หนูสะดวกเลย ว่าแต่พี่เตอร์ทำอะไรอยู่ทำไมไม่ลงมาสักที เดี๋ยวต้องไปเรียนเทควันโดไม่ใช่เหรอ” “พี่เตอร์กำลังหวีผมเสริมหล่อค่ะ พี่เขากำลังชอบสาวคนหนึ่ง” ฮันนี่ป้องปากกระซิบเมื่อพี่ชายเดินลงมา ฮันเตอร์หรี่ตามองน้องอย่างรู้ทันว่ากำลังโดนนินทา “ตายแล้ว! นี่ลูกชายแม่จะมีแฟนแล้วเหรอเนี่ย ว่าแต่หล่อจริงนะวันนี้” “ใช่ที่ไหนกันล่ะ ยัยฮันนี่พูดไปเรื่อย แม่ไม่ต้องไปฟังนะ” เด็กชายเดินมาหอมแก้มมารดาแล้วเดินไปช่วยมาลัยตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จาน ขณะที่สองสาวแม่ลูกถือช้อนกับส้อมรอกินอย่างใจจดจ่อ “ขอให้จริงเถอะนะ แค่สิบขวบอย่าเพิ่งมีแฟนเลย แม่ยังไม่พร้อมปวดหัว” เด็กสมัยนี้โตไวอย่างก้าวกระโดด เธอก็มัวแต่ทำงานงกๆ กลัวจะตามไม่ทันลูก “ไม่มีหรอกคร้าบ ผมก็แค่อยากหล่อเป็นธรรมดา ว่าแต่แม่ฮะผมอยากได้โทรศัพท์ใหม่” “โนจ้ะ” พิณลดาปฏิเสธทันควัน นับเป็นครั้งที่สามแล้วที่ลูกชายอ้อนขอโทรศัพท์เครื่องใหม่ “ไม่เอาก็ได้ เชอะๆ” ฮันเตอร์ไม่งอแง ตั้งใจว่าค่อยวอแวขอวันละนิดวันละหน่อย เดี๋ยวอีกไม่นานแม่ก็ใจอ่อนซื้อให้เอง “ว่าแต่แม่จะไปส่งเราไหมคะ” “แน่นอนสิจ๊ะ เดี๋ยวแม่กินเสร็จแล้วจะไปส่งนะ ว่าแต่จะเรียนเสร็จประมาณกี่โมงเอ่ย” “อืม น่าจะบ่ายสองนะคะ เช้านี้หนูกับพี่เตอร์เรียนเทควันโด บ่ายสองหนูมีคลาสเต้น” “ส่วนผมบ่ายสองมีเรียนเปียโนฮะ” “โอเคจ้ะ งั้นเดี๋ยวแม่ไปส่ง แล้วบ่ายสองจะรับไปกินของหวานฟินๆ ดีไหมคะ” “ดีที่สุดเลยค่ะ” “ตั้งตารอเลยฮะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD