กุบ กับ กุบ กับ...! เสียงรถม้าแล่นฝ่าสายลมหนาวไปตามทางที่ปูลาดด้วยอิฐ ในเมืองแคว้นจ้าวแห่งนี้แม้จะเล็กกว่ามหานครสี่เฉิงเมืองหลวงใหญ่ แต่ทว่ากลับเจริญรุ่งเรืองไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
ในช่วงฤดูหนาวผู้คนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกมาตั้งร้านแผงลอยเหมือนเช่นปกตินักในตัวเมืองใหญ่แห่งนี้จึงไม่ต่างจากเมืองร้างเท่าไหร่นัก
“พระชายาหนาวไหมเพคะ” ซูเจียวยกมือของเซี่ยหมิงหลันขึ้นมาถูไปมาสร้างความอบอุ่น
เนื่องจากรถม้านี้เป็นรถม้าที่นางไปจ้างมา จึงไม่มีเตาผิงให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
“ไม่เป็นไรข้าทนได้” เซี่ยหมิงหลันฉีกยิ้มบางเบาให้กับสาวใช้ของตนเพื่อให้คลายความกังวลใจ
ต่อให้ลำบากกว่านี้อีกสิบส่วน ข้าก็ไม่อ้อนวอนขอร้องชายผู้นั้นเป็นเด็ดขาด
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เส้าเฉียน และจื่อตัน คนสนิทของท่านอ๋องทำสีหน้าตื่นตกใจเข้ามารายงานความเป็นไปในตำหนัก หลังพวกเขาลับสายตาเพียงชั่วยามกลับมีเรื่องให้ต้องระคายใจ
“มีอะไรรีบว่ามา” ผู้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองคนของตนเพียงแต่ถามออกไป และตั้งใจอ่านฎีกาที่ส่งมาร้องทุกข์ต่าง ๆ ของประชาชนในแคว้นเท่านั้น
“พระชายาออกไปด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
ปึง!
เสียงวางเอกสารตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งกล่าวด้วยสุ้มเสียงอันดัง
“เจ้าว่าอันใดนะ”
ทั้งสองคนสนิทก้มหน้ามิกล้าสบตาผู้เป็นนาย เนื่องจากทำงานสะเพร่า ปล่อยให้พระชายาและคนในตำหนักเหม่ยฮวาคลาดสายตาไป
“ผู้ใดมันกล้าอนุญาต!”
สีหน้าที่เย็นชายามปกติก็เคร่งขรึมจนน่ากลัวอยู่แล้ว หากแต่ยามนี้มีความมืดดำลงอีกหลายส่วน ชวนให้คนที่อยู่ใต้บัญชาเสียวหัวหลุดจากบ่ามิน้อย
ทหารเฝ้าประตูตำหนักถูกนำมาไต่สวน แล้วนำไปโบยฐานให้คนของเป่ยจิ้งอ๋องออกไปด้านนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ได้ความว่าอย่างไร” ขณะที่ทำโทษคนอยู่ เส้าเฉียน
ก็ได้รับให้ไปสืบความว่าเกิดเหตุอันใดกันขึ้นในตำหนัก
“เมื่อเช้าหลังท่านอ๋องเสด็จออกจากตำหนัก สาวใช้ของพระชายาไปที่ห้องพักซุนกงกง แต่มิทราบความใดถึงโดนโบยไปสิบไม้แล้วกลับตำหนักเหม่ยฮวาไป”
เส้าเฉียนรายงานอย่างระมัดระวังคำพูดอย่างที่สุด เกรงกลัวว่าวันนี้จะมีคนที่ไม่ได้หายใจต่อสักคนสองคน ยามที่เป่ยจิ้งอ๋องโกรธยามนั้นต้องมีผู้สังเวยด้วยเลือดทุกคราไป
“ดี...ดียิ่ง...ในตำหนักข้าบัดนี้ทำสิ่งใดมิต้องเห็นหัว”
น้ำเสียงประชดประชันนั้นทำให้เส้าเฉียนและจื่อตันก้มหัวแทบจะแทรกแผ่นดิน
“สั่งการไป หากพระชายากลับมานำตัวมาให้ข้าสอบสวน” สิ้นเสียงที่แสนจะไม่สบอารมณ์ร่างสูงสง่าอย่างบุรุษองอาจเดินกลับเข้าไปห้องบรรทม ไม่อยากอยู่ระคายลูกตากับพวกที่ไม่ได้เรื่อง
โรงหมอจางจื่อซิน
เซี่ยหมิงหลันนั่งอยู่ที่โต๊ะกลมหน้าท่านหมอจางยื่นข้อมือออกให้ตรวจ แต่ขณะตรวจชีพจรให้กับนางอยู่นั้น สีหน้าท่านหมอเดี๋ยวเครียดเดี๋ยวคลายใจจนทำให้คนที่มาตรวจร้อนอกร้อนใจยิ่ง
“ข้าเป็นโรคร้ายแรงใช่หรือไม่” คิ้วย่นขมวดติดกันถามกับผู้เป็นหมอ
ท่านหมอจางไม่ตอบเสียทีเดียว เพียงแต่ส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนยิ้มให้กับสตรีที่มีใบหน้าผุดผ่อง
“ข้าตรวจพบชีวิตมงคล เจ้ามีครรภ์แล้วนังหนู”
ท่านหมอจางไม่รับรู้ฐานะที่แท้จริงของเซี่ยหมิงหลัน เพราะนางต้องการปกปิดฐานะที่แสนน่าอายเอาไว้
พระชายาที่ไม่เคยมีแม้แต่งานฉลอง เดินทางกลับมาอย่างเงียบงัน เรียกเสียงนินทาทั่วทั้งตำหนัก ล้วนเป็นที่ครหานินทา
“เช่นนั้นหรอกหรือ” เชี่ยหมิงหลันมิคลายกังวลใจนัก บัดนี้นางมิใช่ตัวคนเดียวแล้ว มีอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในท้องนางอีกคน
“ช่วงนี้พักผ่อนให้มาก อย่าให้โดนลมเย็นแล้วก็ดื่มสมุนไพรบำรุงครรภ์ที่ข้าจัดให้”
“ท่านหมอบ้านข้าอยู่ไกล โปรดจัดให้เพียงพอสักสองสามเดือนเถิด” มิรู้เมื่อไหร่จะได้มีโอกาสออกมาข้างนอกอีก วันนี้ถือว่านางตุนพวกของจำเป็นก็แล้วกัน
“เช่นนั้นก็ย่อมได้”
หมอจ้าวจัดยาชั่งตวงใส่ห่อแบ่งหลายห่อให้สาวใช้ของนางขนขึ้นรถไป ระหว่างทางนางจัดหาซื้อของบำรุงร่างกายอีกหลายอย่างหน่อยแล้วมุ่งหน้ากลับตำหนักเป่ยจิ้งอ๋อง
รถม้าจอดเทียบตรงประตูเล็ก สตรีทั้งสามช่วยกันหอบหิ้วของกันเต็มสองไม้สองมือ
“พระชายา ท่านอ๋องเชิญไปพบที่ห้องโถง พ่ะย่ะค่ะ” เสียงสั่นของทหารเฝ้ายามหน้าประตูตำหนักกล่าวกระท่อนกระแท่นเต็มทีเรียกสายตาสงสัยให้กับเชี่ยหมิงหลัน
มาไม้ไหนอีกเล่า!
“ขอบใจเจ้ามาก” ทหารเงยหน้าอย่างดีใจที่พระชายาไม่แผลงฤทธิ์ไปด้วยอีกคน หาไม่เช่นนั้นเงาหัวของผู้น้อยเช่นเขาคงไม่เหลืออีกแล้ว
เสียงฝีเท้าที่ไม่ได้เร่งรีบเท่าไหร่นัก เพราะนางต้อง
ระมัดระวังไม่ให้ตัวเองสะดุดหกล้มไป ผ่านไปชั่วครู่ทั้งสามก็หยุดยืนอยู่หน้าตำหนักของเป่ยจิ้งอ๋อง
เซี่ยหมิงหลันพยักหน้าให้ซูเจียวไปแจ้งกับผู้ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู นางยืนรออย่างใจเย็นอยู่ด้านนอกแม้ลมจะเย็นสุดขั้วหัวใจก็ตาม
“ท่านเส้าเฉียน ซูเจียวเองเจ้าค่ะ พระชายามาพบตามคำสั่งของท่านอ๋องแล้วเจ้าค่ะ”
...ครืด...
ประตูที่ปิดกั้นกันลมหนาวเลื่อนออกมา ด้วยฝีมือของเส้าเฉียน สีหน้าที่เคร่งขรึมขององครักษ์คู่ใจของท่านอ๋องเรียกความกังวลบนใบหน้าของซูเจียนได้อย่างแจ่มชัด
“ท่านช่วยไปแจ้งแก่ท่านอ๋องหน่อยเถิด พระชายาจะยืนรออยู่หน้าตำหนักเจ้าค่ะ”
สีหน้าเย็นชาขององครักษ์มิต่างจากเจ้านายนักทำให้คนที่มารายงานรู้สึกอึดอัดใจ มิรู้ว่าเจ้านายของตนจะโดนกลั่นแกล้งอันใดจากผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้อีกหรือไม่
“รออยู่ตรงนี้ก่อน”
เส้าเฉียดถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเลื่อนประตูที่ปิดกันลมให้สนิท ต่อให้อยากให้พระชายาเข้าไปพักด้านใน แต่หากว่าเจ้าของตำหนักมิได้เป็นผู้สั่งการ เขาก็หามีอำนาจไม่
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ คนของตำหนักเหม่ยฮวามารอพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เส้าเฉียดรายงานไม่ขาดตก ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมาคือความเงียบงันของบุรุษเรือนกายกำยำสูงใหญ่ ที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาที่อ่านออกยากทอดมองไปที่หน้าประตูตำหนัก ในมือนั้นถือถ้วยชายกขึ้นจิบอย่างใจเย็น
ซูเจียวได้ยินเสียงภายในเนื่องจากตนยืนอยู่หน้าตำหนัก ทำให้รับรู้ว่าท่านอ๋องตั้งแง่กับพระชายา นางกัดริมฝีปากเพื่อระบายความอัดอั้น มิกล้าบุ่มบ่ามออกไปรายงานสิ่งใดให้กับนายของตน กิริยาที่ไร้หัวใจของท่านอ๋องทำให้ซูเจียวนึกสงสารพระชายานัก