“ก็ใครจะคิดว่าพี่จะเข้ามาเองล่ะ…”
ฉันบ่นงึมงำทั้งที่ยังยืนตัวแข็งอยู่ ก่อนจะรีบถอยหลังกลับเข้าห้อง เตรียมจะคว้าเสื้อผ้ามาใส่ให้เรียบร้อย
แต่ยังไม่ทันได้ขยับไปไหน เสียงเปิดประตูดัง แอ๊ดดดดดดด…
“ไอเมย์! เป็นอะไรหรือเปล่า พี่ได้ยินเสียงแกร้อง—”
พี่หมี?!
ฉันเบิกตากว้างสุดชีวิตเมื่อเห็นพี่หมี คนสวนประจำบ้านที่ฉันสนิทที่สุด เปิดประตูพรวดเข้ามา
ในจังหวะเดียวกัน…
“เห้ย!!”
เสียงพี่หมีร้องลั่น
“เห้ย!”
เสียงพี่กองทัพสบถเบา ๆ แต่ตกใจสุดขีด
“เห้ยยย!!”
และเสียงของฉัน ที่ยิ่งไปกว่านั้นเพราะ…
ผ้าเช็ดตัวที่ฉันห่อร่างเอาไว้ มันกำลังจะหลุด!
พี่หมียืนอึ้ง
พี่กองทัพเบิกตา
และฉันยืนสะดุ้งใจเต้นโครมคราม!
ทันใดนั้นเอง พี่กองทัพก็ขยับตัวไวเป็นพิเศษ เขาก้าวมายืนบังฉันไว้ด้วยแผ่นหลังสูงใหญ่ ก่อนจะหันไปตะโกนเสียงเข้ม
“ออกไปก่อนไอหมี!”
“อ๊อ อออ โทษทีครับ! ผมไม่ได้ตั้งใจ! ผมไม่เห็นอะไรเลย! ไม่เห็นเลยสักนิด!”
พี่หมีกลับหลังหันปิดประตูปังแทบไม่ทัน เสียงเท้าวิ่งหนีดังตุบตับราวกับหนีระเบิด
ฉันรีบคว้าชุดนอนจากบนเตียงแทบไม่ทัน ใจเต้นแรงจนแทบระเบิด!
“หึ…รอบหน้าล็อกประตูด้วย”
เสียงทุ้มของพี่กองทัพยังไม่หายจากความตกใจ แต่กลับมีแววขำจาง ๆ ในน้ำเสียงนั้นด้วย
“โอ๊ยยย ให้ตายเถอะ… นี่มันวันบ้าอะไรกันเนี่ย!”
หลังจากที่เขาออกจากห้องไป ฉันก็รีบคว้าชุดมาแต่งตัวแทบไม่ทัน ใจยังเต้นแรงไม่หาย ทั้งจากเหตุการณ์เมื่อกี้ แล้วก็ความอายที่ยังลอยวนอยู่รอบตัว
กลัวเหลือเกินว่าจะมีใครเปิดประตูเข้ามาอีก แล้วได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น…
ฉันรีบแต่งตัวด้วยความไวแสง มือไม้สั่นเล็กน้อย แต่ก็พยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด
วันนี้มันวันบ้าอะไรกันเนี่ย…
“เสร็จสักที…” ฉันเป่าลมหายใจออกยาว ๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง
“โอ๊ยยย แล้วแบบนี้กูจะมองหน้าเขายังไงวะเนี่ยยย”
มือขยุ้มผมตัวเองแน่นอย่างหงุดหงิดปนเขินอาย ฉันแทบจะเอาหน้าไปซุกใต้หมอนหนีความจริง
แค่คิดถึงสายตาเย็น ๆ คู่นั้นที่หันกลับมาบังฉันไว้ตอนที่ผ้าจะหลุด… ก็อยากแหกปากกรี๊ดอีกสักรอบ
นี่มันไม่ใช่แค่ ‘อยู่ในห้องสองต่อสอง’ แล้วนะ แต่มันคือ ‘อยู่ในห้องตอนฉันเปลือยครึ่งตัว’ เชียวนะเว้ย!
ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเย็นที่ทุกคนในบ้านต้องมานั่งพร้อมหน้ากัน ฉันกับแม่มีหน้าที่คอยเสิร์ฟ ตักข้าว เติมน้ำตามโต๊ะเหมือนทุกวัน
แต่วันนี้… แค่คิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพี่กองทัพ ฉันก็รู้สึกตัวแข็งไปหมดแล้ว
ไม่เอา! วันนี้ขอหลบอยู่ในครัวดีกว่า
ฉันก้มหน้าก้มตาช่วยแม่เตรียมอาหาร ล้างผัก จัดจาน เทน้ำซุปลงหม้ออย่างเงียบ ๆ พยายามไม่สบตาใครโดยเฉพาะคนที่ฉันไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้
“เมย์… วันนี้ไม่ออกไปเสิร์ฟเหรอลูก”
เสียงแม่ถามขึ้นขณะกำลังหั่นผักอยู่ข้าง ๆ
“ไม่อ่ะแม่ ขออยู่ในครัวดีกว่า” ฉันรีบตอบ ทั้งที่ไม่กล้าสบตาแม่ด้วยซ้ำ
“อ้าว ทำไมล่ะ หรือว่าไปทำอะไรผิดมา?”
“โธ่แม่! เปล่าสักหน่อย…แค่…” ฉันหยุดไปครู่หนึ่งก่อนบ่นเบา ๆ เหมือนพูดกับตัวเอง
“แค่วันนี้อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว…”
แม่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ
“นี่อย่าบอกนะ ว่ามีเรื่องอะไรที่แม่ไม่รู้”
ฉันทำแค่กลอกตา ก่อนจะรีบหันไปง่วนกับการจัดจานต่อ
ไม่พูดได้มั้ยล่ะ… แค่คิดภาพตอนที่พี่หมีเปิดประตูเข้ามาเมื่อเย็นนี้ ฉันก็อยากมุดครัวหนีหายไปเลยแล้ว!
หลังจากที่ฉันยืนยันกับแม่ไปแล้วว่าขออยู่จัดการเตรียมอาหารในครัว ไม่ออกไปเสิร์ฟเหมือนทุกวัน แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เธอพยักหน้าเบา ๆ แล้วเป็นคนออกไปรับหน้าที่แทนฉันเอง
เสียงจานช้อนกระทบกันเบา ๆ ดังลอดเข้ามาจากโต๊ะอาหารด้านนอก ฉันรู้ดีว่าเวลานี้เป็นช่วงที่ทุกคนในบ้านจะนั่งล้อมโต๊ะพร้อมหน้ากัน คุณท่านเจ้าของบ้าน พ่อของพี่กองทัพและพี่จอมทัพ, แล้วก็แน่นอน…ตัวพี่กองทัพเองที่ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตา
แค่คิดภาพเขานั่งนิ่ง ๆ อยู่ที่หัวโต๊ะ สายตานิ่งเรียบไร้อารมณ์ก็มากพอจะทำให้มือที่กำลังจับตะหลิวของฉันสั่นได้แล้ว
ฉันพยายามกลั้นหายใจอยู่ในครัว ลุ้นว่าแม่จะไม่เผลอพูดอะไรหลุด ๆ ออกไป และภาวนาให้บทสนทนาระหว่างทุกคนตรงโต๊ะอาหารไม่มีชื่อ “เมย์” โผล่เข้าไปสักคำ
แต่เพราะเสียงจากด้านนอกมันชัดเจน… ฉันเลยได้ยินบางอย่าง
“แล้วเจ้าเมย์ล่ะ ทำไมวันนี้กิ๊ฟออกมาเสิร์ฟเอง?”
เสียงคุณท่านถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึมตามแบบฉบับของท่าน แม้จะฟังดูเรียบเฉย แต่ฉันที่แอบฟังอยู่ในครัวกลับรู้สึกเหมือนโดนเข็มแหลมแทงเข้าที่หน้าอก
แม่เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงนอบน้อมและนุ่มนวล
“เมย์เขาขออยู่ช่วยเตรียมอาหารในครัวน่ะค่ะ เห็นว่าไม่ค่อยสบาย…”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย
ขอบคุณแม่นะ… ที่เข้าใจและช่วยพูดให้
ฉันยืนนิ่งหลังเคาน์เตอร์ กำมือลงแน่นกับผ้าเช็ดจาน
ไม่รู้ว่าเสียงในใจหรือเปล่า แต่เหมือนฉันได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ จากใครบางคนตรงโต๊ะอาหาร
“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
เสียงคุณท่านถามขึ้น ก่อนจะหันไปมองทางแม่ด้วยแววตาเฉยชาแต่แฝงความใส่ใจ
“เรียกให้เจ้าเมย์มาทานข้าวด้วยกันสิ ไหน ๆ ก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว… เธอก็มาด้วยสิ กิ๊ฟ มาทานด้วยกันเถอะ”
แม่ฉันถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
“เอ่อ… ไม่เป็นไรค่ะคุณท่าน กิ๊ฟไปทานในครัวเหมือนเดิมดีกว่า”
น้ำเสียงของแม่ฟังดูอ่อนน้อม แต่ฉันรู้ดีว่าแม่กำลังเกรงใจ ไม่อยากข้ามเส้นฐานะที่ชัดเจนระหว่างเรากับเจ้านาย
“มาทานด้วยกันเถอะครับคุณป้า”
คราวนี้เป็นเสียงของพี่จอมทัพที่พูดขึ้นบ้าง น้ำเสียงของเขาฟังดูจริงใจ ไม่มีความเสแสร้งแม้แต่น้อย
แม่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“ค่ะ… ถ้าอย่างนั้น กิ๊ฟขอไปตามเมย์ก่อนนะคะ”
ฉันที่ยืนอยู่ในครัว ถึงกับต้องกลั้นหายใจเมื่อได้ยินบทสนทนาทั้งหมด
จะให้ไปนั่งร่วมโต๊ะกับเขาเหรอ… พี่กองทัพน่ะนะ
บ้าแล้ว! ฉันยังไม่พร้อมสู้หน้าเขาเลย!
แม่ฉันเดินกลับเข้ามาในครัว พร้อมกับสีหน้าเกรงใจปนลำบากใจเล็กน้อย
“เมย์… ไปนั่งทานข้าวที่โต๊ะกับทุกคนหน่อยนะลูก คุณท่านเขาเอ่ยปากชวนเอง”
ฉันชะงัก หันไปมองหน้าแม่แล้วก็หลุบตาลง
“แม่… เมย์ไม่ไปได้ไหมอ่าา”
น้ำเสียงที่หลุดออกมาทั้งอ้อนและอึดอัด ใจฉันยังเต้นแรงไม่หายจากเหตุการณ์เมื่อเย็น แถมยังต้องไปนั่งข้างคนที่ฉันแทบจะมองหน้าไม่ติดอีก
แต่แม่กลับส่งสายตาดุ ๆ มาให้
“อย่างอแง ผู้ใหญ่เขาเอ่ยปากชวนเอง อย่าทำตัวเสียมารยาท”
ฉันได้แต่เม้มปากแน่นอย่างจำยอม
ให้ตายสิ… จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับเขาแบบนี้!
ฉันได้แต่กลั้นใจ กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืน ก่อนจะก้มหน้าเดินตามหลังแม่ออกมาจากครัวไปยังโต๊ะอาหาร
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องอาหาร สายตาทุกคู่ก็หันมามองฉันเป็นตาเดียว หัวใจฉันเต้นแรงรัวเหมือนจะทะลุออกมานอกอก
“มาสิ หนูเมย์ มานั่งข้างเจ้ากองทัพมันแล้วกัน จะได้สนิทกันไว้”
เสียงคุณท่านเอ่ยอย่างใจดี แต่กลับทำให้ฉันแทบอยากหายตัวไปจากตรงนี้
ฉันเงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองที่ว่างข้างพี่กองทัพ แล้วก็หลุบตามองพื้นอีกครั้ง
ข้างเขาเหรอ… ข้างคนที่ฉันเพิ่งเจอในสภาพแทบจะเปลือยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนน่ะนะ?
ฉันฝืนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งลงอย่างเงียบ ๆ โดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองใคร รู้แค่ว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารตอนนี้… อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก