“กลับบ้านด้วยกัน”

1805 Words
“เมื่อกี้ขนลุกชิบหาย หน้าพี่ไทเกอร์โคตรดุ แล้วดูพี่หมอกอีก ขืนโดนว้ากแบบนี้ทุกวัน กูน่าจะหมดลมก่อนแน่” นุ่นพูดพลางถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกหลังจากที่พี่ว้ากปล่อยแยกย้าย “อย่าเวอร์ไปหน่อยเลยน่า ก็แค่ผู้ชายยืนพูดเสียงเข้มแล้วทำหน้าเก๊กใส่” แบมแบมตอบแบบไม่ใส่ใจนัก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่อิน “โอโห้… ปากมึงนี่ กูยกให้ที่หนึ่งเลย” เมย์พูดพลางยกนิ้วโป้งให้แบมแบมแบบประชดประชัน “แล้วนี่พวกมึงจะกลับกันเลยป่ะ?” แจมถามขึ้น ทุกคนพยักหน้าตอบรับทันทีว่าจะกลับเลย มีเพียงน้ำหวานที่ไม่ได้ตอบอะไร เอาแต่มองจอโทรศัพท์ “อีหวาน! กูถามว่าจะกลับเลยไหม ห๊ะ?” แจมหันไปสะกิดเพื่อน “เหี้ย! ตกใจหมด…” น้ำหวานสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้น “ก็กลับนั่นแหละ แต่ต้องรอแม่มารับก่อน” “แล้วแม่จะมายังอะ? ให้พวกกูรอเป็นเพื่อนไหม?” เมย์ถามพลางมองฟ้าที่เริ่มครึ้ม “ไม่ต้องๆ พวกมึงกลับกันเลย เดี๋ยวฝนตกอีก แม่กูกำลังมา สักพักก็ถึงแล้ว” น้ำหวานรีบตอบ “แน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้?” แบมแบมถามย้ำอีกรอบอย่างเป็นห่วง “ได้ดิ รอแป๊บเดียวเอง พวกมึงกลับเหอะ เดี๋ยวแม่กูก็มาละ” “งั้นถึงบ้านแล้วไลน์กลุ่มมาบอกด้วยละกันนะ” แจมว่า ทุกคนพยักหน้ารับ ก่อนจะบอกลาน้ำหวานแล้วแยกย้ายกลับบ้าน ——— ““ฮัลโหลแม่ มีอะไรครับ?” หมอกรับสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ลูกชายแม่ จะกลับบ้านหรือยัง?” แม่สุถามด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีแฝงเลศนัย “กำลังจะกลับแล้วครับ แม่มีอะไรพูดมาเลยดีกว่า” หมอกตอบเสียงนิ่งเหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องมีเรื่อง “แหม ลูกแม่นี่รู้ทันอีกแล้ว… คือป้าสาย แม่ของน้องน้ำหวาน เขากลับไม่ทันไปรับน้องน่ะจ้ะ ลูกรับน้องกลับมาด้วยได้ไหม แม่เป็นห่วงน้อง เดี๋ยวฝนก็ตกอีก กลัวน้องจะไม่มีรถกลับบ้าน” หมอกถอนหายใจนิดๆ “มาเองได้แล้วทำไมกลับเองไม่ได้ล่ะแม่” “โอ๊ย เอาน่าลูกชายสุดหล่อของแม่ ช่วยน้องหน่อยสิ ลูกก็รู้น้องไม่ชอบเสียงฟ้า ขืนฟ้าร้องขึ้นมาตอนอยู่คนเดียว แม่เป็นห่วงจะตาย… นะลูกนะ ช่วยแม่หน่อย” หมอกเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจยาวอีกครั้ง “โอเคครับ…” “ลูกแม่ช่างน่ารักที่สุดในโลกเลย ขับรถดีๆ นะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวรอ!” เสียงของแม่สิ้นสุดลงพร้อมกับการตัดสายอย่างทันที “จะกลับแล้วหรอมึง?” ไทเกอร์ถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “เออ มีอะไร?” หมอกถามกลับด้วยน้ำเสียงสงสัย “เด็กมึงอ่ะ เห็นนั่งอยู่น่ามอ” ไทเกอร์บอกพร้อมยิ้มร้าย “เด็กกูเหี้ยอะไร เพ้อเจ้อ” หมอกพูดเสียงหงุดหงิด “กูยังไม่ได้บอกเลยว่าพูดถึงใคร ร้อนหรอมึง?” “ไปละ คุยกับมึงแล้วประสาทจะแดก” หมอกหันไปรีบเดินไปที่รถอย่างเร็ว “รีบไปไหนวะ? ไปรับน้องเขาหรอ? หึ” “ค*ยเถอะ” หมอกสบถเสียงดัง ก่อนจะหันหลังให้และเดินจากไป เมื่อหมอกเดินมาถึงรถ BYD สีขาวป้ายทะเบียนเลขสวย เขาก็ไม่รอช้า รีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งในที่นั่งคนขับ ท่าทางหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว พยายามที่จะไปให้ทันก่อนที่เจ้าเด็กแสบเจ้าปัญหาจะหายไปจากสายตา เมื่อหมอกเห็นน้ำหวาน เขาก็ไม่รอช้า ขับรถเข้าไปจอดเทียบข้างๆ ริมถนนที่เธอยืนอยู่ น้ำหวานทำหน้าหมางงเมื่อเห็นเขา “ขึ้นรถ” หมอกพูดสั้นๆ “คะ?” น้ำหวานถามด้วยความสงสัย “ขึ้นรถ… กลับพร้อมกัน แม่เธอมารับไม่ทันหรอก” หมอกอธิบาย “เอ่อ… น้ำหวานกลับเองดีกว่าค่ะ ไม่อยากรบกวน” น้ำหวานตอบเสียงเบา “ฉันบอกให้ขึ้นรถ มันยากมากเลยหรือไง?” หมอกพูดเสียงเรียบ แต่มองเธอด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้ “หรือต้องให้ฉันลงไปอุ้มขึ้นรถ?” หมอกพูดพร้อมกับเริ่มปลดเข็มขัดนิรภัยออก “เออๆๆ … ขึ้นแล้วๆ” น้ำหวานตอบเสียงหงุดหงิด ในใจคิด ‘อีตาบ้านี่ คิดอยากจะทำอะไรก็ทำหรือไง… โอ๊ยย หงุดหงิดเป็นบ้า’ เธอยิ่งบ่นในใจไปยิ่งรู้สึกไม่พอใจ แม่นะแม่ แม่มารับไม่ได้ก็ไม่โทรมาบอกสักคำ ——— สถานการณ์ตอนนี้เหรอ… ฉันบอกเลยว่า “อึดอัด” ชะมัด บนรถที่มีแค่ฉันกับเขานั่งเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรเลยสักคำ แม้แต่เสียงหายใจของเขายังชัดเจนเกินไปสำหรับฉัน ยิ่งตอนนี้ฝนก็ดันตกลงมาอีก การจราจรก็เลยติดหนึบไปกันใหญ่ ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น กึ่งงงงงงงงง ฉันรีบกดรับสาย “ฮัลโหลแม่” “น้ำหวาน วันนี้แม่น่าจะกลับช้าหน่อยนะลูก ปาป๋ายังคุยเรื่องลงทุนไม่เสร็จเลย แถมฝนก็ตกอีก คงล่าช้าไปอีกสักพัก หนูอยู่คนเดียวได้ใช่ไหมลูก?” “ได้ค่ะ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ” ฉันตอบกลับไป ทั้งที่ในใจแอบรู้สึกหวั่นๆ เพราะฉันไม่ชอบอยู่คนเดียวตอนฝนตกเลยจริงๆ “แล้วนี่หนูกลับบ้านยังไง? พี่หมอกรับไปส่งใช่ไหม?” แม่ถามอีก ฉันเหลือบมองคนที่กำลังขับรถอยู่ข้างๆ ก่อนจะตอบเบาๆ “ค่ะ น้ำหวานกลับมากับพี่หมอกค่ะ” “ดีเลย แม่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ถ้างั้นถ้าหนูไม่อยากอยู่คนเดียว จะไปนอนบ้านพี่เขารอก็ได้นะ แม่ไม่ว่า” “ไม่เอาหรอกค่ะ แม่ น้ำหวานเกรงใจป้าสุ” ฉันตอบพลางแอบชำเลืองมองเขาอีกครั้ง “เอางั้นก็ได้ลูก อย่าลืมล็อกบ้านให้เรียบร้อยนะ ถ้าง่วงก็เข้านอนได้เลย แม่ต้องวางแล้วนะ” “ค่ะแม่…” เมื่อฉันวางสายจากแม่ได้ไม่นาน เสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นจนฉันสะดุ้งเฮือก “กรี๊ดดดด!” ฉันเผลอร้องออกมาพร้อมยกมือขึ้นปิดหูโดยอัตโนมัติบอกตรงๆ เลยว่า ฉันเกลียดหน้าฝนสุดๆ! ทั้งเปียก ทั้งเฉอะแฉะ แล้วยังมีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่น่ากลัวแบบนี้อีก แค่ได้ยินเสียงก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว! สายตาเหลือบไปมองคนข้างๆ พี่หมอกยังคงขับรถด้วยท่าทีเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แววตาใต้คิ้วเข้มยังคงเย็นเฉียบเหมือนทุกทีมแต่แล้ว…เขาก็พูดขึ้นเบาๆ โดยไม่หันมามองฉัน “กลัวเหรอ?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียบๆ ฉันไม่ได้ตอบ ได้แต่เม้มปากแน่นเพราะไม่อยากยอมรับตรงๆ แต่ดูเหมือนเขาจะรู้คำตอบอยู่แล้ว พี่หมอกเอื้อมมือไปปรับแอร์ให้เบาลง ก่อนจะพูดอีกคำโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ทนอีกนิด เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว” แม้คำพูดจะฟังดูเรียบเฉย…แต่ฉันกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างแทรกอยู่ในน้ำเสียงนั้น บางที…เขาอาจจะไม่ได้นิ่งชาอย่างที่ฉันคิดเสมอไปก็ได้ เมื่อมาถึงบ้าน พี่หมอกขับรถเข้าไปจอดในโรงรถอย่างเงียบๆ ตามสไตล์ของเขา ต้องบอกก่อนว่าตรงโรงรถนี่แหละ…จะมีประตูเชื่อมระหว่างบ้านพี่หมอกกับบ้านฉันอยู่ แค่เปิดประตูออกไป ก็จะถึงฝั่งบ้านฉันทันที ป้าสุมักจะบอกให้ฉันใช้ประตูเชื่อมนี้เป็นประจำ เพราะสะดวกและใกล้กว่าเยอะ แต่ฉันก็ยังรู้สึกเกรงใจทุกครั้ง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน “มากันแล้วเหรอ มาๆ เข้าบ้านก่อน” เสียงของป้าสุ แม่พี่หมอก ดังขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงรถจอด เธอรีบเดินออกจากครัวมาต้อนรับ พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นแบบคนคุ้นเคย “เป็นยังไงบ้างน้องน้ำหวาน ไหนป้าดูสิ เปียกตรงไหนไหม? เจ้าหมอกมันทำอะไรเรารึเปล่า?” ป้าพูดพลางเดินเข้ามาสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า “ปกติดีค่ะ พี่หมอกแวะรับน้ำหวานพอดีก่อนฝนจะตก” ฉันตอบยิ้มๆ “อย่าเวอร์ได้ไหมแม่” พี่หมอกพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ดูเหมือนป้าสุจะไม่ใส่ใจคำบ่นลูกชายเท่าไหร่ “จริงเหรอ ดีแล้วๆ งั้นอยู่ทานข้าวกับป้าและพี่เขาก่อนนะ แม่เราก็น่าจะกลับดึก ฝนตกฟ้าร้องแบบนี้ ป้าห่วง” “ไม่เป็นไรค่ะ น้ำหวานอยู่ได้” ฉันรีบตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่ในใจก็แอบเกรงใจอยู่ไม่น้อย “งั้นเอาแบบนี้ดีกว่า…กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน แล้วเดี๋ยวป้าไปตามให้มาทานข้าวด้วยกันนะ ดีไหม?” “เอ่อ…โอเคค่ะ” ฉันตอบพลางส่งยิ้มแห้งๆ ให้ป้าสุ “หมอก! เดินกางร่มไปส่งน้องหน่อย เปิดประตูเชื่อมไปนะ จะได้ไม่เปียกเยอะ” พี่หมอกที่กำลังจะเดินขึ้นห้องถึงกับชะงัก เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่ายเหมือนจะบอกว่า “แม่อีกแล้ว…” แต่สุดท้ายก็ไม่เถียงอะไร เดินไปคว้าร่มอย่างจำยอม ตลอดทางที่เดินมากับเขา สองคน สองร่ม และความเงียบ ความอึดอัดบางอย่างก็ลอยฟุ้งอยู่รอบตัวฉันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันชวนให้หายใจติดขัด เหมือนหัวใจจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ฉันแทบอยากจะบ้าตาย เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ฉันรีบก้มหน้าก้มตาปลดล็อครหัสประตู นิ้วแทบจะกดผิดเพราะใจมันสั่นจนควบคุมไม่อยู่ แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง ทุ้มต่ำ ชัดเจน และเป็นเสียงที่ฉันรู้ดีว่าเป็นของใคร “อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?” ฉันชะงักนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ค่ะ…อยู่ได้ค่ะ” แต่ในใจฉันน่ะสิ เต้นแรงจนแทบจะทะลุอกออกไปแล้ว เสียงของเขาแค่ไม่กี่คำ ก็ทำให้ฉันแทบลืมหายใจ “อืม… ปิดบ้านดีๆ” พี่หมอกพูดแค่นั้น แล้วหมุนตัวกลับทันที ร่มในมือของเขากางออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างสูงที่ค่อยๆ เดินหายลับไปในสายฝน เหลือไว้แค่ฉัน…ที่ยังยืนอยู่ตรงประตู พร้อมหัวใจที่ยังเต้นแรงอยู่ไม่หยุด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD