ทุกคนเชื่อเรื่องที่เราสามารถเกิดใหม่ในร่างของคนอื่นได้จริงๆ หรือเปล่า มันจะมีเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ เหรอ แต่ฉันเชื่อเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นกับตัวฉันเอง หลังจากที่วันหนึ่งฉันค้นพบกับเรื่องมหัศจรรย์เข้า นั่นคือการตายที่นำพาดวงวิญญาณฉันให้หลุดเข้ามาอยู่ในยุคโบราณ
มันคือสถานที่ตามแบบฉบับในซีรี่ย์ที่เคยดูมานั่นแหละ ต่างไปก็แค่ที่นี่คือของจริง ชาวเมืองต่างก็ไม่ใช่นักแสดง ทุกคนล้วนแต่อยู่ในยุคสมัยเมื่อสองพันปีก่อน และที่สำคัญฉันเกิดในแคว้นที่สตรีมักมีสองสามี เพราะเพศนี้มีน้อยกว่าบุรุษที่สำคัญเจ้าของร่างสวยมากและอายุแค่สิบแปด หากเปรียบสตรีในยุคนี้คงบอกว่างดงามดั่งภาพวาดนั่นแหละ
แต่น่าแปลกที่นางผู้นี้กลับยังไม่ได้แต่งงาน “เอ๋! ปกติสมัยโบราณพอถึงวัยปักปิ่นก็ต้องออกเรือนแล้วมิใช่หรือจางลี่ เหตุใดข้าถึงยังอยู่ที่จวนนี้กับท่านแม่ล่ะ”
เสียงหวานเอ่ยถามออกไป
ทำเอาคนสนิทถึงกับเกาหัว ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณหนูบอกเองนี่เจ้าคะ ว่าจะอยู่ครองตัวเป็นโสดเช่นนี้ต่อไป จนกว่าจะเจอคนถูกใจ”
“หา! ข้าเอ่ยเช่นนั้นหรือ แล้วท่านแม่ก็ยอม”
“เจ้าค่ะ ก่อนนั้นนายหญิงก็มิมีผู้ใด จึงตบปากรับคำ แต่ดูท่ายามนี้คุณหนูคงเลี่ยงไม่ได้แล้ว”
“ทำไมล่ะ?” ถามกลับอย่างสนใจ ก่อนจะยื่นมือขาวออกไปหยิบผลไม้ใส่ปาก รอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ
“ก็ยามนี้นายหญิงกำลังคบหาดูใจกับนายท่านเรือนข้างๆ น่ะสิเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยบอกเสียงเบา เพราะผู้เป็นนายตกน้ำแล้วก็หลับไหลไปถึงสามเดือน จึงไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง พอตื่นขึ้นมาก็บอกว่าจำสิ่งใดไม่ได้ นางจึงต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
“จริงหรือ แล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้าล่ะ” ถามกลับไปอีกครั้ง เพราะนางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดจึงเป็นปัญหาในเมื่อทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีใครในยามนี้
“หากนายหญิงตกลงปลงใจกับแม่ทัพเว่ย ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่เรือนนั้นอย่างไรล่ะเจ้าคะ นายหญิงก็คงเป็นห่วงคุณหนู จึงไม่ยอมตบปากรับคำแต่งงานเสียที”
“เอ๋! ข้าโตเพียงนี้แล้วจะมาห่วงทำไม อีกอย่างเรือนก็อยู่ใกล้แค่นี้ไยจะต้องกังวล” ว่าจบก็หยิบองุ่นใส่ปากอีก
“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือซูหลัน” เสียงหวานจากนายหญิงของจวนดังขึ้น พร้อมกับร่างสะโอดสะองของนางเดินเข้ามานั่งลงข้างบุตรสาว
“เจ้าค่ะท่านแม่ ท่านอยากแต่งก็แต่งเถอะ ลูกโตแล้วดูแลตนเองได้ ขาดเหลือสิ่งใดก็จะทุบกำแพงเรือนเข้าไปหาท่านก็แล้วกัน” เอ่ยติดตลกเย้ามารดา ทั้งที่ก่อนจะล้มหมอนนอนเสื่อซูหลันไม่เคยเป็นเช่นนี้
“ไม่ต้องถึงกับทุบกำแพงจวนข้าหรอก ประเดี๋ยวจะสั่งคนให้เอามันออก หากเจ้าไม่ว่าอันใด ก็ทำเป็นประตูไปเลย” เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้น ทำให้ร่างเล็กที่นั่งอยู่ถึงกับชะงัก เพราะอีกฝ่ายมีใบหน้าหล่อเหลาเป็นอย่างมาก
“โห! ผู้ชายคนนี้หล่ออย่างกับพระเอกซีรี่ย์เลย” คนจากยุคอื่นคิดในใจ พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ
“ท่านแม่ทัพพึ่งกลับมาจากชายแดน เรียกท่านอานะซูหลัน” เสียงหวานของมารดาดึงสติบุตรสาว ทำให้ซูหลันอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเป็นปม
“เอ๋! ท่านอา ไม่ใช่ต้องเรียกท่านลุงหรือเจ้าคะ” ถามออกไปนางไม่รู้ว่าก่อนนั้นตนเองและสกุลหานสนิทสนมกัน เพราะไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย เป็นเหตุให้แม่ทัพหนุ่มยืนนิ่งมองสตรีตัวน้อยด้วยสายตาตัดพ้อ
“หานเว่ยถิงอายุน้อยกว่าแม่สี่ปี จะเรียกท่านลุงได้อย่างไรกัน” ถ้อยคำนั่นเขินอายอย่างเห็นได้ชัด
“อ่อ! เป็นเช่นนี้นี่เอง” เมื่อรู้ที่มาแล้ว ร่างเล็กของซูหลันก็ลุกขึ้น ก่อนจะคำนับว่าที่พ่อเลี้ยงอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้โดยสายตานั้นยังคงซ่อนความรู้สึกบางอย่างอยู่ ก่อนจะนั่งลงหารือเรื่องงานแต่งกับมารดาของนาง ซึ่งมีซูหลันนั่งรวมอยู่ด้วยในฐานะบุตร
“ทำไมเขาดูใจร้อนจัง” ซูหลันนึกในใจ เพราะดูเหมือนท่านแม่ทัพจะกำหนดเวลาเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ
“มิเร็วไปหรือเจ้าคะ” เสี่ยวหมี่เอ่ยถามทันที เมื่อรู้ว่ากำหนดคือสิบวันข้างหน้า
“ไม่หรอก ข้าอยากแต่งพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ” เสียงทุ้มเอ่ย ทำเอาผู้ที่นั่งฟังอยู่ถึงกับคว่ำปากเล็กน้อย ก่อนมันจะหายไปในทันที เพราะแม่ทัพหันมาสบตาเข้าอย่างจัง เลยได้แต่เอื้อมมือไปหยิบองุ่นกลางโต๊ะใส่ปากกลบเกลื่อน แล้วทำทีหันไปทางอื่นจึงไม่ทันได้เห็นว่าแม่ทัพหนุ่มยกยิ้ม
การพูดคุยจบลงด้วยดี และอีกสามวันต่อมาแม่สื่อก็ทำเรื่องสู่ขอแลกเปลี่ยนของหมั้น จากนั้นก็รอแค่เวลาให้ถึงวันมงคลเท่านั้น แต่พอผ่านไปเพียงสองวันสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น กลุ่มคนชุดดำบุกเข้ามาสังหารล้างครอบครัวของซูหลัน มารดาของนางตายอยู่หน้าเรือน ไม่ต่างจากสาวใช้และคนงาน เหลือแค่ซูหลันและจางลี่เท่านั้น
“คุณหนูทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
“หลบอยู่ในน้ำนี่แหละ” เสียงสั่นเครือเพราะตื่นตระหนกกลัวเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า จึงทำให้ซูหลันตัดสินใจแช่อยู่ในน้ำ ผู้ที่มาจากยุคอื่นใช้ชีวิตอยู่แต่ในออฟฟิตทุกวัน ไหนเลยจะมีหนทางแก้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
มีแต่จะต้องหาทางรอดจากเหตุการณ์นี้เท่านั้นและ เพราะยามนี้เรือนทุกหลังกำลังถูกวางเพลิงเผาคงหมายให้ตายกันทั้งหมด ร่างของมารดาก็ถูกจับโยนเข้าไปด้านใน ซึ่งนางก็ไม่อาจเข้าไปช่วยได้เพราะกลัวตายอีกรอบเช่นกัน
ความผูกพันธ์ในใจก็ไม่ได้มีมากนักจึงไม่คิดจะเอาตัวไปเสี่ยง เพราะช่วงแรกทุกคนต่างก็หนีเอาตัวรอดกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เสี่ยวหมี่ นางเองก็หมายจะหนีเอาตัวรอดลำพัง แต่ดันพลาดเดินไปผิดทางจึงถูกสังหารเสียก่อน
ในขณะนั้นทหารก็กรูกันเข้ามาโอบล้อมคนร้ายเอาไว้ การต่อสู้จึงเกิดขึ้น และสุดท้ายพวกมันก็ถูกสังหารเกือบหมด คนที่ถูกจับได้ก็ยิ้มรับกับชะตากรรม เพราะพวกเขาตั้งใจทำเพื่อล้างแค้นคนตระกูลนี้
“ซูหลันอยู่ที่ใด” เมื่อมาถึงแม่ทัพก็ถามหาบุตรสาวของเรือนนี้ทันที เพราะเขาเป็นห่วงนางมาก
“ยังไม่พบตัวขอรับ ไฟลุกไหม้ทุกเรือนมิอาจตรวจสอบได้” คนสนิทรายงานเพราะรู้ว่าผู้เป็นนายห่วงคุณหนูมาก เว่ยถิงขบกรามแน่นมองเปลวไฟเบื้องหน้าที่ลุกโหม
“ข้ามาช้าเกินไปกระนั้นหรือ” วาจาสั่นเครือเปล่งออกมา ก่อนหันกลับมาหาคนร้ายที่ถูกจับคุกเข่าอยู่
“เจ้าทำไปเพื่อเหตุใดกัน” เสียงเย็นของแม่ทัพหนุ่มดังขึ้น ใบหน้านี้เดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านแม่ทัพต้องขอบใจข้า ที่กำจัดสตรีผู้นี้ไปได้ คนชั่วเช่นนี้หาได้คู่ควรเป็นฮูหยินของท่านไม่ นางสมควรตาย”
ถ้อยคำคนร้ายมันทำให้ผู้ที่หลบอยู่ในน้ำชะงัก คิ้วสวยผูกกันเป็นปมทันที ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงสิ่งใด “ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงนั่นคือมารดาของข้ามิใช่หรือ เหตุใดพวกเขาถึงได้เคียดแค้นนางมากมายเพียงนี้ ท่านแม่ทำสิ่งใดไว้หรือ” เอ่ยจบก็หยุดการเคลื่อนไหวของตนเพื่อรอฟัง
“เรื่องความชั่วของนาง ข้ารับรู้ดี และกำลังจะจัดการในอีกไม่ช้า ข้าหาได้มีใจคิดจะเอาสตรีผู้นี้มาเป็นเมียอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่เจ้ากลับทำให้แผนข้าพัง แล้วจะสืบหาข้อมูลที่เหลือได้อย่างไรกัน” เสียงเหี้ยมดุดันของแม่ทัพหนุ่มเปล่งออกมาดังพอให้คนในน้ำได้ยิน
“นี่มันอะไรกัน ท่านแม่ทำสิ่งใดชั่วร้ายงั้นหรือ” ใบหน้าหวานหันกลับมาหาสาวใช้ทันที
“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” อีกฝ่ายตอบเสียงเบา
“แบบนี้เราคงปรากกฎตัวไม่ได้แน่”
“แล้วจะทำเช่นไรล่ะเจ้าคะ เราไม่มีที่ไปแล้วนะ” สาวใช้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง แต่ครานี้นางต้องเบิกตากว้างด้วย เพราะคนสนิทของแม่ทัพนั่งยองๆ มองทั้งคู่อยู่ริมสระ ก่อนจะส่งยิ้มใส่พร้อมกับส่งมือเพื่อให้จับขึ้นจากน้ำ
ซูหลันมีท่าทีตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็จำต้องพาตนเดินเลาะไปที่ทางขึ้น เพราะคนบนฝั่งกำลังกดดัน ทำให้สตรีสองนางต้องพาตนเองขึ้นจากน้ำทั้งที่อยู่ในชุดนอน
เว่ยถิงมองมายังร่างเล็กของสตรีตัวน้อย เขารีบปลดเสื้อคลุมห่มให้เพราะชุดนอนของนางบางเบา เปียกน้ำแล้วก็เผยเรือนร่างให้เห็นจนเกือบหมด ดีที่คนของเขาพาคนร้ายออกไปแล้ว เหลืออยู่ก็ไม่กี่คน แต่ก็ไม่มีใครกล้ามองเมื่อเจอสายตาของผู้เป็นนาย
“พี่คิดว่าเจ้าตายไปแล้ว ดีจริงที่ยังมีชีวิตอยู่” เสียงทุ้มเปล่งออกมา ก่อนที่แขนแกร่งนี้จะช้อนอุ้มเอาร่างเล็กขึ้นแนบอก พาตรงไปฝั่งกำแพงจวนที่กลายเป็นประตูเชื่อมต่อ ระหว่างทั้งสองจวนนี้ไปแล้ว