“ลลิน… พี่ว่าเราเลิกกันเถอะ”
เสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นในวันปัจฉิม ระหว่างที่คนรักกำลังจบ ม.6 และเธอยังเป็นเพียงเด็ก ม.ต้น
“ทำไมคะ หนูทำอะไรผิดหรือเปล่า พี่บอกหนูมา หนูจะปรับตัวก็ได้ ขอแค่พี่อย่าทิ้งหนูเลย”
น้ำเสียงสั่นพร่าพร้อมดวงตาคลอเต็มไปด้วยความหวัง แต่ชายหนุ่มกลับตอบเพียงสั้น ๆ ทำลายทุกอย่างในวินาทีนั้น
“พี่ไม่ได้รักเราแล้ว”
คำพูดนั้นฝังลึกในใจจนวันนี้…ทว่า...
เฮือก!
ร่างบางสะดุ้งตื่นจากเตียงคิงไซส์ เหงื่อซึมเต็มขมับ หัวใจยังเต้นแรงราวเพิ่งถูกทิ้ง ทั้งที่ความจริงผ่านมาเจ็ดปีแล้ว
เธอลุกจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้น้ำเย็นชะล้างทั้งคราบเหงื่อและเศษเสี้ยวความทรงจำ ก่อนสบถกับตัวเองเบา ๆ
“รักครั้งแรก…เจ็บไม่เคยหายเลยจริง ๆ”
ไม่นานนักลลินแต่งชุดนักศึกษาพอดีตัว ก้าวลงบันไดไม้อย่างเงียบงัน บ้านที่เคยอบอุ่นกลับเงียบเหงาเกินปกติ
“คุณพ่อกับคุณแม่ล่ะคะ?” เธอถามแม่บ้าน
“ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ เห็นว่าบริษัทมีปัญหาด่วน”
คำตอบเพียงเท่านี้เธอก็พอรู้… บ้านนี้กำลังสั่นคลอนแค่ไหน แต่ยังฝืนยิ้มบาง ๆ ตอบว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้ไม่ทานข้าวนะคะ ฉันจะไปทานกับเพื่อนที่มหาลัย”
ที่มหาวิทยาลัยxx บรรยากาศโรงอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าคุณหนูอวดกระเป๋าใบใหม่
“นี่ลิมิเต็ดล่าสุดเลยนะ”
“ของฉันป๊าสั่งตรงจากยุโรปเลยจ้ะ”
ส่วนลลินพยายามกลมกลืนกับรอยยิ้มสดใส ทั้งที่ใจว่างเปล่า เธอเดินไปสั่งอาหารร้านประจำ ทว่ากลับถูกเพื่อนสะกิดกระเป๋าแบรนด์หรูในมือ
“โห ใบนี้เกือบแสน ซื้อเองเหรอ?”
“เปล่าหรอก ป๊าซื้อไว้ให้ ฉันก็แค่หยิบมาใช้”
คำตอบเรียบง่ายที่ซ่อนความเจ็บปวด ของพวกนี้ไม่เคยแทนสิ่งที่เธอต้องการจริง ๆ ได้เลย… เธอแค่อยากนั่งกินข้าวพร้อมหน้าครอบครัวในตอนเช้าแค่นั้นเอง
จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงตอนเย็นวันเดียวกัน บรรยากาศในคฤหาสน์เงียบงันกว่าทุกที ลลินเปิดประตูเข้ามาแล้วชะงักนิ่ง ภาพที่เห็นคืิอพ่อกับแม่นั่งนิ่งบนโซฟา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเครียด
“เกิดอะไรขึ้นคะ?” เธอถามด้วยใจสั่นระรัว
ขณะที่แม่จับมือแน่น “ลลิน… หนูต้องเข้มแข็งนะ”
“แม่หมายความว่ายังไง?”
พ่อถอนหายใจหนัก “ธุรกิจของเราล้มเหลว บ้าน… ถูกฟ้องล้มละลายแล้ว”
สิ้นคำพูดของแม่โลกทั้งใบของเธอเหมือนพังครืนลงตรงหน้า
“ไม่นะคะ หนูไม่อยากเสียบ้าน ไม่อยากเสียครอบครัวไปแบบนี้”
จากนั้นพ่อเกรียงไกรก็เอ่ยเสียงขมขื่น “พ่อกับแม่พยายามแล้ว แต่ทุกอย่างเกินจะแก้ไข… ชีวิตเราจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วลูก”
คนตัวเล็กน้ำตาเอ่อคลอทันที หัวใจแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ แต่เธอทำได้เพียงกัดริมฝีปาก… พยายามไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดออกมา
“แล้วหนูต้องทำยังไงต่อไปคะพ่อ แม่… เราไม่เคยลำบากเลย แล้วตอนนี้… แบบนี้จะทำยังไงดี”
เสียงสั่นเครือของลลินถามด้วยดวงตาคลอน้ำตา
ห้องทั้งห้องเงียบสนิท ก่อนคุณพ่อตัดสินใจเอ่ยออกมา
“พ่อจะลองไปยืมเงินญาติหรือเพื่อนดูสักก้อน… แล้วคงต้องย้ายออกจากบ้านนี้ ไปเช่าห้องเล็ก ๆ กันไปก่อน”
ลลินเบิกตา น้ำตาร่วงทันที ไม่เคยคิดว่าบ้านหลังใหญ่จะกลายเป็นเพียงความทรงจำ
ด้านคุณแม่วางมือบนไหล่ลูกสาว ส่วนคุณพ่อลังเลครู่หนึ่งก่อนพูดสิ่งที่ทำให้หัวใจเธอแทบหยุดเต้น
“หนูลองขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ดูเถอะ เผื่อเขาจะให้ยืมเงิน พ่อสัญญาจะคืนครบทุกบาททุกสตางค์”
ลลินนิ่งงัน… นึกไปถึงเพื่อนสนิทแต่ละคนเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ แค่คิดว่าต้องยืนขอยืมเงินก็แทบหายใจไม่ออก
แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับอย่างหมดทางเลือก “โอเคค่ะ… พรุ่งนี้ลลินจะลองดู”
รุ่งเช้า
ลลินลงจากห้องก็พบว่าบ้านเงียบผิดปกติ
“แม่บ้านไปไหนหมดคะ?”
คุณพ่อตอบเรียบ ๆ “เมื่อคืนพ่อให้พวกเขาออกไปแล้ว เราดูแลใครไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
หัวใจเธอหวิวโหวง ตัวชาไปทั้งร่าง แต่ก็ทำได้แค่พยักหน้า
“ค่ะ…”
มหาวิทยาลัย xx
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในโรงอาหาร เสียงหัวเราะอวดของแบรนด์เนมดังระงม ลลินสูดหายใจลึก เดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อน พยายามยิ้มตามปกติ
“นี่… วันนี้ว่างไหม ลลินมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือ”
เพื่อนสาวเลิกคิ้ว “หืม? เรื่องอะไร”
เธอกำมือแน่น ก่อนพูดตรง ๆ
“บ้านฉันล้มละลายแล้ว… ฉันลำบากมาก คืออยากขอยืมเงินสักหน่อย แต่สัญญาว่าจะคืนครบแน่นอน”
บรรยากาศเงียบไปเสี้ยววินาที ก่อนเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น
“ฮ่า ๆ ที่เขาลือกันจริงด้วยสิ บ้านเธอล้มละลายจริงด้วย”
“อุ้ย กระเป๋าก็ไม่ใช่รุ่นล่าสุดนี่นา ป๊าไม่ซื้อให้แล้วเหรอ”
หัวใจลลินบีบรัด น้ำตาเอ่อ แต่ยังคงเอ่ยเสียงสั่น
“เราเป็นเพื่อนกันนะ… ช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
เพื่อนคนหนึ่งยิ้มหวาน พยักหน้า “ได้สิ ฉันจะช่วย”
คำพูดของเพื่อนสนิทในกลุ่มเริ่มให้ความหวังแล่นวาบในอก เรียวปากสีหวานกำลังจะเอ่ยขอบคุณ
แต่ทันใดนั้นเอง
ปึก!
กองธนบัตรถูกฟาดลงตรงหน้า “นี่… พวกฉันรวมกันให้ ถือว่าช่วยขอทาน ไม่ต้องคืนหรอก”
ลลินชะงัก ดวงตากลมสั่นระริก “ทำไม… ทำไมทำแบบนี้ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
อีกคนหัวเราะ “เพื่อนน่ะใช่ แต่ฐานะเราไม่เหมือนกันแล้วนะ เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เธอจะสู้ไหวเหรอ”
อีกเสียงเสริม “ถ้าอยากคบกับเรา ก็ทนรับความจริงเถอะ ว่าเธอไม่ใช่ ‘พวกเดียวกัน’ อีกต่อไปแล้ว”
เสียงสะอื้นหลุดจากปาก เธอฝืนยิ้มบาง ๆ ทั้งที่หัวใจแตกสลาย
“ก็… ขอบคุณนะ ที่บอกความจริง”
หญิงสาวพูดพลางก้มเก็บเงินทุกบาทขึ้นมาจนหมด ก่อนเงยหน้าขึ้นพร้อมไหว้เพื่อน ๆ ด้วยหัวใจที่แตกสลาย ทว่ามีเพียงแผ่นหลังเย็นชาและเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ค่อย ๆ ห่างออกไป
มือบางกำเงินแน่นจนสั่น แล้วปลีกตัวไปยังห้องน้ำหญิง
ปึง!
ประตูถูกผลักปิด ร่างเล็กทรุดลงพิงผนัง น้ำตาไหลไม่หยุด
“ฮึก… เพื่อนแท้สักคนก็ไม่มีจริง ๆ”
สิบนาทีผ่านไป เสียงสะอื้นเริ่มเบาลง แต่แล้ว...
โครม! ซ่า!
น้ำเย็นจัดสาดลงมาจนเธอเปียกโชกทั้งตัว ชุดนักศึกษาบางแนบกับผิวจนแทบไม่เหลือที่ปกปิด
ลลินเงยหน้าขึ้นช้า ๆ พบกลุ่มเพื่อนสนิทยืนหัวเราะเยาะอยู่ตรงหน้า “อุ๊ย ขอโทษนะ น้ำหกพอดีเลย” เสียงหวานปนเย้ยหยันดังขึ้น
หัวใจเธอแทบหยุดเต้น แต่เลือกจะเงียบ ไม่ร้อง ไม่เถียง เดินฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้นออกมาโดยไม่หันกลับไปมอง แม้เสียงหัวเราะยังตามหลังมา
“เงียบเลยเหรอ… สงสัยยอมรับแล้วสินะ ฮ่า ๆ”
ลลินกัดริมฝีปากแน่น ยิ่งตอบโต้ก็ยิ่งเสียศักดิ์ศรี เธอก้าวออกไปอย่างมั่นคงขึ้น แม้ภายในยังร้าวระบม
โชคดีที่บ่ายนั้นคลาสเรียนถูกยกเลิก เธอรีบกลับบ้านด้วยรถเมล์สายเก่า ที่นั่งเบียดเสียดกับผู้โดยสารจนหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อก่อนแค่ก้าวออกจากบ้านก็มีรถหรูรอพร้อมคนขับ… แต่วันนี้กลับต้องซ่อนน้ำตาบนเบาะรถเมล์เก่า ๆ
กระโปรงที่ชื้นเปียกยังติดรอยน้ำ รองเท้านักศึกษาสกปรกจนดูไม่ได้ เธอก้มหน้าหลบสายตาคนรอบข้าง หัวใจเต็มไปด้วยความอับอาย
ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าสู่ซอยคุ้นตา ลลินก้าวลงแล้วชะงัก ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น
หน้าคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่ากลับเต็มไปด้วยลังข้าวของกองระเกะระกะ พ่อกับแม่กำลังนั่งแยกของอย่างรีบร้อน สีหน้าเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“หนูกลับมาแล้วค่ะ…” เธอเอ่ยเสียงเบา
คุณแม่เงยหน้าขึ้น ยิ้มฝืนทั้งที่ตาบวมแดง “มาช่วยแม่เก็บของหน่อยนะลูก อีกแป๊บเราต้องย้ายออกจริง ๆ”
ลลินค่อย ๆ ก้าวเข้ามองรอบห้องรับแขกที่เคยหรูหรา ทุกอย่างยังอยู่ครบแต่ไร้ค่า เพราะรู้ว่ามันกำลังจะถูกยึด
น้ำตาที่กลั้นไว้ทั้งวันพรั่งพรูอีกครั้ง “ทำไมทุกอย่างมันถึงเร็วแบบนี้คะพ่อ แม่…”
คุณพ่อวางมือลงบนไหล่ลูกสาว “พ่อกับแม่ทำดีที่สุดแล้ว ต่อจากนี้เราต้องสู้ไปด้วยกัน”
ลลินกอดกล่องใบหนึ่งแน่น ราวกับจะกอดเศษเสี้ยวของชีวิตที่กำลังถูกพรากไป เหลือเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาแทนที่เสียงหัวเราะอบอุ่นในบ้านหลังนี้