รั่วอินให้บ่าวในจวนส่งจดหมายออกไปให้กงจวิ้นที่อยู่ชายแดนเหนือ แต่จวนของนางกลับถูกล้อมไว้จนไม่อาจส่งจดหมายไปขอความช่วยเหลือได้
นางหัวเราะเยาะในโชคชะตา นางเป็นเพียงแม่นางน้อยที่แทบจะอยู่แต่ภายในจวน จะหนีไปที่ใดได้ ถึงได้ต้องกักขังนางไว้เช่นนี้ แม้ทหารจะยอมให้บ่าวไปจับจ่ายซื้อของในตลาดเช่นปกติ แต่ก็ถูกรื้อค้นทุกครั้งก่อนจะเข้าจวน
หรือนางต้องยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ไว้ ไม่ใช่ว่านางจะออกจากจวนไปที่ใดไม่ได้ แต่จะออกไปที่ใด ในเมื่อจวนของญาตินางล้วนแต่ไปมาหมดแล้ว
หากไม่ปิดประตูอย่างแน่นหนา ก็อ้างว่าล้มป่วยจนไม่อาจให้นางเข้าพบได้ ตอนที่บิดาของนางยังอยู่ในตำแหน่งเรื่องเช่นนี้ไม่เคยมีสักครั้ง
นางไม่ต้องออกไปพบผู้ใด ทุกคนล้วนแต่วิ่งเข้ามาพบนางเอง ว่าผู้ใดที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากบิดา หากไม่มากเกินไปบิดาของนางยินดีที่จะช่วยทุกครั้ง
แต่พอเรื่องเกิดกับครอบครัวของนางบ้าง เหตุใดพวกเขาไม่เหลียวกลับมาดูนางสองพี่น้องสักนิด รั่วอินได้แต่คิดไปต่างๆ นานา
เรื่องหนี้สินของบิดานางก็ไม่อาจตรวจสอบได้ แต่นางไม่มีทางเชื่อแน่นอนว่าบิดาของนางจะหยิบยืมเงินโรงจำนำมาจริง
ก่อนครบกำหนดหนึ่งวันแม่นมโจวก็ยังคงเกลี้ยกล่อมให้นางพาหงอี้หนีออกจากเมืองหลวงไปก่อน เพราะนางไม่อาจหาเงินมาใช้หนี้ได้
“คุณหนูเชื่อบ่าวสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ” แม่นมโจวเอ่ยข้าร้อง พร้อมสะอื้นไห้
นางเลี้ยงรั่วอินมากับมือ จะยอมทนมองนางตกไปอยู่ในกำมือของโรงรับจำนำได้อย่างไร ยิ่งมีสัญญาขายตัว ไม่รู้ว่าต่อไปชีวิตคุณหนูของนางต้องเคราะห์ร้ายมากเพียงไหน
“แล้วข้าจะทิ้งพวกเจ้าได้อย่างไร” นางเอ่ยเสียงสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้อยู่
“ไม่ต้องห่วงพวกบ่าวเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรทางการก็เพียงแต่ขายบ่าวอีกหน แต่คุณหนูไม่เหมือนกัน หากนายท่านพ้นข้อกล่าวหา คุณหนูก็จะได้กลับเข้าเมืองหลวงอีกครั้ง” แม่นมโจวบีบมือของรั่วอินแน่น
หากคุณหนูของนางแต่งออกไปกับคุณชายสวี เมื่อปีที่แล้วคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สองนายบ่าวกำลังพูดคุยกันอยู่ในเรือน
เสี่ยวจินก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา พร้อมทั้งส่งจดหมายในมือของนางให้กับรั่วอินอย่างร้อนใจ
“คุณหนู” นางเอ่ยเรียกเสียงสั่น
เพราะรู้จากบ่าวของตระกูลสวี มาแล้วว่าจดหมายด้านในเขียนไว้ว่าอย่างไร
รั่วอินใบหน้าซีดขาว นอกจากจดหมายที่เขียนส่งมาจากฮูหยินสวีแล้ว มันคือหนังสือถอนหมั้นระหว่างนางกับสวีกงจวิ้น
นางรู้ดีว่านี้ไม่ใช่ความคิดเขา แต่เขาคงไม่อาจขัดมารดาได้ เพราะในจดหมายฮูหยินสวีก็เขียนมาบอกนางอย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่านางจะรักรั่วอินดั่งบุตรีของนางอีกคน แต่นางก็ไม่อาจให้บุตรชายเพียงคนเดียวที่กำลังเจริญในหน้าที่การงานต้องรับเคราะห์ครั้งนี้ไปด้วย
“คุณหนู” แม่นมโจวเอ่ยเรียกนางอย่างเห็นใจ เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของนาง
“ข้าเข้าใจ ท่านป้าตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว” นางไม่อาจกล่าวโทษผู้ใดได้เลยในเวลานี้
เพราะทุกคนต่างก็ต้องการมีชีวิตรอด หากบิดาของนางถูกตัดสินให้มีความผิดจริง ตระกูลของนางก็คงต้องเหลือแต่ชื่อแล้ว
เหมือนคนของตุลาการจะกลัวนางคิดหนี วันนี้พวกเขาจึงเดินตรวจเวรยามอย่างแน่นหนา แม่นมโจวก็ได้แต่ร้อนใจ เพราะไม่อาจหาช่องทางให้นางได้หนีได้
“แม่นมท่านอย่าได้ร้อนใจ ข้าจะยกทรัพย์สินทั้งหมดพร้อมจวนให้พวกเขาไป เพื่อยืดระยะเวลาออกไปก่อน” นางเอ่ยอย่างใจเย็น แต่ภายในใจก็อดที่จะหวาดกลัวไม่ได้
ไม่รู้ว่าการต่อรองครั้งนี้จะเป็นผลหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางคงต้องลองดูเสียก่อน แม่นมในเมื่อไม่มีหนทางให้หนี ความคิดของคุณหนูก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ต่อไปหาเช่าเรือนใหม่อยู่กันอย่างลำบากเสียหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าที่ต้องยอมประทับลงในสัญญาขายตัว
วันต่อมาหลงจู๊หานก็มาเยือนที่จวนตระกูลสวีแต่เช้าตรู่ นางไม่รู้ว่าเขาบอกคนด้านนอกว่าอย่างไร เรื่องที่บิดาของนางกู้ยืมเงินจึงไม่ได้ถูกลือออกไป
เพียงเข้ามาด้านในจวน หลงจู๊หานก็เอ่ยออกมาในทันที
“คุณหนูโจว ข้ามาทวงสัญญาจากท่าน”
“หลงจู๊หาน ข้ายอมยกทรัพย์สินทั้งหมดพร้อมทั้งจวนให้ท่านเป็นค่าดอก เมื่อข้าเข้าพบบิดาได้ ข้าจะหาทางใช้หนี้ทั้งหมดให้แก่ท่าน” นางเอ่ยอย่างใจเย็น
“หึ สัญญาระบุไว้แล้ว ข้าไม่อาจทำตามสิ่งที่คุณหนูร้องขอได้ ไม่เช่นนั้น” เขาปรายตาไปมองร่างเล็กของหงอี้ที่หลบอยู่ที่ประตูห้องโถง
“ท่านคิดจะทำอันใด” เพียงนางเอ่ยถาม คนของหลงจู๊หานที่เขาพามา ก็เข้าจับตัวของหงอี้ไว้ทันที
รั่วอินไม่อาจรักษาท่าทางเยือกเย็นของนางไว้ได้อีกแล้ว นางหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา หากไม่มีขนตาที่ยาวขวางกั้นน้ำตาไว้ ไม่แน่นางในตอนนี้คงได้ร่ำไห้ออกมาให้เขาได้เห็น
“หากท่านยอมให้ข้าพาตัวคุณชายน้อยไป ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องที่ท่านร้องขอจะเป็นไปไม่ได้” หลงจู๊หานยกยิ้มที่มุมปาก
รั่วอินหวาดกลัวเกินกว่าจะเอ่ยสิ่งใดออกมา นางมองหงอี้ที่ดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของคนงานหลงจู๊หานอย่างสงสาร
แต่ก่อนที่นางจะตัดสินใจยอมแพ้กับโชคชะตาที่โหดร้าย แล้วประทับชื่อลงในสัญญาขายตัว เสียงเย็นชาด้านหลังของหลงจู๊ก็ดังขึ้น
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ” หลงจู๊หันไปมองผู้มาเยือน ก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างนอบน้อม
ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้จักเขา เซียวรุ่ยเผิง รองตุลาการศาลต้าฉี ขุนนางหนุ่มวัยเพียงยี่สิบสามหนาว ผู้ใดจะคิดว่าบัณฑิตหนุ่มที่ไม่มีคนหนุนหลังจะก้าวมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างรวดเร็ว
เพราะการทำคดีที่เที่ยวตรง ทั้งการตัดสินที่โหดเหี้ยม เขาถูกยกย่องจากชาวเมืองหลวงว่าเป็นขุนนางตงฉิน แม้แต่ฮ่องเต้ยังโปรดปรานความสามารถของเขา
เขายังเป็นผู้ที่มาคุมตัวบิดาของนางไปขังไว้ที่คุกหลวงอีกด้วย
รั่วอินขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าเขามาเยือนด้วยตนเองในวันนี้ เพราะเหตุใด