ชวิศลงมาจากห้องนอนในเช้าวันหยุด เดินมายังห้องโถงใหญ่ที่ใช้เป็นห้องนั่งเล่นดูโทรทัศน์ของทุกคนในบ้าน ก็พบมารดาและบิดากำลังนั่งจิบชา กาแฟ ดูรายการโทรทัศน์อยู่ที่โซฟา
“อรุณสวัสดิ์ครับพ่อ แม่” เอ่ยทักทายท่านทั้งสองเป็นประจำที่เคยปฏิบัติ
แต่ที่ดูไม่เหมือนเคย คงเป็นบิดามารดาที่นั่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับมา มีเพียงหางตาจากมารดาเท่านั้นที่เหลือบมองมาเล็กน้อย ชวนให้ชวิศสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุที่เกิดขึ้น
“ดูอะไรกันอยู่เหรอครับ” คนรู้ตัวว่าคงถูกโกรธหรือไม่ก็งอนเข้าให้แน่ๆ ยังคงถามต่อ
“พ่อนี่ก็ไม่มีตาเนาะ ก็เห็นอยู่ว่าเปิดทีวียังจะมาถามว่าดูอะไร” เข็มอาบยาพิษดอกที่หนึ่งปักลงที่หัวใจของลูกชายอย่างจัง
“ตามันมี แต่มันไม่มีสมอง ไม่รู้เรียนจบหมอมาได้ยังไง” ดอกที่สองอาบยาพิษมาจนชุ่ม กดลึกเข้าที่หัวใจในตำแหน่งเดิม พาให้ชวิศเริ่มเจ็บแปลบๆ หายใจหายคอไม่ทั่วท้อง
“แม่ครับ วันนี้แม่ทำอะไรทานเอ่ย” เอาน้ำเย็นเข้าลูบ หวังให้ความร้อนรุ่มในอกของมารดาลดลง
“อยู่ในครัว ไปหาดูเอา มีอะไรก็กินอันนั้นแหละ ไม่ต้องมาถาม” ก็คนมันหมั่นไส้เจ้าลูกชายตัวดี ที่ทำอะไรไม่รู้จักคิดให้ดี
มีอย่างที่ไหน ไปงานวันเกิดผู้หญิงคนอื่น ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มหัวใจ ว่าเมื่อวานวันเกิดปาริมา คู่หมั้นตัวเอง
“พ่อครับ แล้วอาทิตย์นี้น้องไม่กลับมาบ้านเหรอครับ” เมื่อเข้าทางแม่ไม่ใจอ่อน จึงหันมาหาพ่อบ้าง
“โทรศัพท์ก็มี ทำไมไม่โทรไปถามน้องเอง” แต่ดูเหมือนหันหน้าไปทางไหนก็ไม่มีใครเข้าข้างตัวเองสักคน
“พ่อกับแม่โกรธผมเหรอครับ” นางชิมค้อนขวับให้บุตรชาย สะบัดหน้ามองไปอีกทาง ส่วนแก้วก็กระแทกลมหายใจออกมาหนักๆ เอ่ยถามบุตรชายย้อนกลับ
“แล้วสิ่งที่ช้างทำเมื่อคืนมันถูกไหม คิดถึงความรู้สึกหนูปลาบ้างไหม ว่าน้องจะรู้สึกยังไง ทำไมช้างไม่แคร์ความรู้สึกน้องบ้างเลยล่ะลูก ลืมไปแล้วเหรอว่าหนูปลาคือคู่หมั้นของช้าง พ่อเข้าใจนะ ว่าหมอพลอยก็คือเพื่อนร่วมงานช้างเหมือนกัน แต่เรื่องแบบนี้มันปฏิเสธกันได้ไม่ใช่เหรอลูก เว้นซะแต่ช้างจะไม่อยากปฏิเสธ และเต็มใจไปตามคำชวนนั้น”
“อย่าเสียเวลาพูดอยู่เลยคุณ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก ไปร้านกันดีกว่า ส่วนเราลองคิดดูดีๆ ว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องไหม ถ้าคิดว่ามันถูกก็ทำต่อไป อยากทำอะไรก็ทำ โตแล้วนี่... ไปคุณ”
“พ่อกับแม่ไม่ได้โกรธช้างนะลูก แต่พ่อกับแม่แค่ผิดหวังในสิ่งที่ช้างทำมากกว่า” แก้วตบไหล่ของลูกชายสองสามครั้ง เดินตามภรรยาออกจากบ้านไป
ทิ้งคนที่ทำตัวไม่น่ารักสำหรับบิดามารดา นั่งทำหน้าเซ็งอยู่ภายในบ้านเพียงคนเดียว เงยหน้ามองเพดานบ้านพ่นลมหายใจออกมาทางปาก ก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ออกมาเปิดดูข้อความของปาริมาที่ส่งมา
‘พี่ช้างยังไม่เลิกงานเหรอคะ’
ไฟหน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้นเป็นการแจ้งเตือน ชวิศหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและอ่านข้อความนั้นผ่านหน้าจอ นิ้วแกร่งแตะลงบนหน้าจออย่างชั่งใจ
“แฟนส่งไลน์มาตามกลับบ้านเหรอคะ” เสียงเย้าแหย่พร้อมกับรอยยิ้มสดใสของหมอพลอย ทำให้ชวิศเลือกที่จะปิดหน้าจอลงตามเดิม
“ไม่ใช่” คำตอบของชายหนุ่มทำให้รอยยิ้มของหมอพลอยยิ่งมากขึ้น
"แล้วจะไม่ตอบกลับไปหน่อยเหรอคะ"
"น้องปลาส่งมาหรือเปล่าวะ" โกวิทที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถาม เพราะคิดว่าปาริมาคงส่งข้อความมาตามแน่นอน
ก็วันนี้มันวันเกิดปาริมาเหมือนกันนี่น่า แต่เพื่อนตัวดีดันลากเขามางานวันเกิดหมอพลอยซะงั้น
"เดี๋ยวค่อยตอบก็ได้"
ชวิศพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงมตามเดิม ลุกเดินเข้าไปในห้องครัว ดูอาหารที่มารดาทำไว้ มีของโปรดของเขาอยู่หนึ่ง แต่แปลกที่วันนี้ชวิศไม่อยากทาน
ร่างสูงหมุนตัวเดินออกมาจากห้องครัว ผ่านห้องนั่งเล่นออกไปยังหน้าบ้าน จุดมุ่งหมายคงหนีไม่พ้นร้านขายข้าวแกงข้างบ้าน
“ข้าวราดแกงสองอย่างสามสิบห้า กาแฟหนึ่งแก้วยี่สิบห้า รวมทั้งหมดหกสิบบาท” เสียงสดใสเอ่ยบอกลูกค้า ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ยื่นมือไปรับเงินจากลูกค้าขาประจำ และส่งเงินทอนคืนกลับ
“พรุ่งนี้มากินใหม่นะ มาอุดหนุนน้อง”
“อุดหนุนจนน้องจะรวยกว่าพี่แล้วครับ”
“แหม... ปลาก็ไปอุดหนุนพี่ชาติเหอะ เอาเจ้าแก่ไปให้ซ่อมไง” เอ่ยย้อนกลับด้วยรอยยิ้มอย่างสนิทสนม เพราะชาติก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเจ้าของร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ในตลาด รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
เพราะเป็นรุ่นพี่ปาริมาเพียงแค่สองปี และปาริมายังชอบไปนั่งปรับทุกข์กับชาติอยู่บ่อยครั้ง
“เสร็จแล้วนะไปเอาด้วย”
“โอเค เดี๋ยวตอนเย็นปลาไปเอา”
“เออ พี่ไปล่ะ เผื่อมีลูกค้ามา”
“ลูกค้าหรือว่าสาวๆ กันแน่ อย่าคิดว่าปลาไม่รู้นะ ว่าเดี๋ยวนี้พี่ชาติมีสาวมานั่งเฝ้าที่ร้าน ว่างๆ ก็พาเขามากินข้าว กินกาแฟที่ร้านบ้าง น้องไม่บอกหรอกว่าพี่มีสาวคนอื่นด้วย”
“เป็นซะงี้ใครจะกล้าพามา เอ็งมันแสบนักไอ้ปลา ไปแล้ว” ปาริมาหัวเราะยกมือโบกลา
การค้าขาย ไม่ใช่ตั้งใจจะขายแต่ของ แต่การเอ็นเตอร์เทนลูกค้าก็ต้องทำ สนิทได้เท่าไหร่ยิ่งดี นั่นหมายถึงจะได้ลูกค้ามาเป็นขาประจำของร้าน
เมื่อชาติเดินออกจากร้าน ปาริมาก็เก็บจานและแก้วน้ำไปไว้ยังจุดวางภาชนะ เมื่อเดินกลับมาหน้าร้านก็ชะงักเมื่อเห็นชวิศยืนอยู่หน้าร้าน
ปาริมายืนมองหน้าชายหนุ่มอยู่ที่เดิม มองหน้าชวิศอยู่อย่างนั้น เช่นเดียวกับชวิศก็มองหน้าปาริมาเช่นกัน ต่างคนต่างมองหน้ากันอยู่นานร่วมนาที
“ซื้อกาแฟหน่อยจ้า” เสียงของลูกค้าที่ดังจากหน้าร้านกาแฟ ดึงสายตาของปาริมาให้หันไปมอง
“จ้า” ร่างบางเดินไปยังร้านกาแฟ ไม่ได้เอ่ยทักทายชวิศเลยสักคำ
ชวิศก็เหมือนจะทำตัวไม่ถูก เพราะโดยปกติปาริมาจะต้องเป็นฝ่ายทักทายชวนคุยก่อนเสมอ จึงเดินมาดูเมนูที่หน้าตู้อาหาร
“อ้าว! หมอช้าง มากินข้าวเหรอลูก”
“ครับ ผมเอาหมูหวานกับไข่ดาวครับ”
“ได้สิ! เดี๋ยวน้าตักให้เยอะๆ เลยนะ จะได้มีแรงทำงานรักษาคนไข้ เมื่อคืนคนไข้เยอะเหรอ เห็นพ่อเราบอกว่าติดคนไข้เลยมาไม่ได้”
ความรู้สึกผิดวิ่งกระแทกเข้าที่หัวใจ และวิ่งเลยมายังดวงตา จนชวิศไม่กล้าเงยหน้าสบสายตากับน้าเสริฐ ได้แต่ก้มหน้ายืนรอเงียบๆ เพราะยังมีจิตสำนึกรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
“พ่อจ๋า เดี๋ยวปลาเข้าไปช่วยแม่ในครัวก่อนนะ ฝากหน้าร้านแป๊บนึงนะ”
“ไปเถอะ”
ไม่มีแม้แต่คำพูดสักหนึ่งคำ ที่ปาริมาจะเอ่ยสนทนากับคนที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ในร้าน สร้างความแปลกใจให้เสริฐอยู่ไม่น้อย
เพราะโดยปกติ หากลูกสาวตนเห็นชวิศนั่งอยู่ตรงนี้ จะไม่มีทางเมินเฉยแบบนี้แน่ ต้องเข้าไปนั่งจ้องหน้าชวนคุยสารพัด จนตนต้องเรียกให้ออกมา แต่นี่กลับเดินผ่านไปราวกับไม่เห็นชวิศ หรือว่าจะโกรธที่ชวิศไม่มางานวันเกินตัวเองเมื่อวาน
แต่โดยนิสัยของลูกสาวโกรธใครไม่ได้นานหรอก ยิ่งเป็นชวิศยิ่งไม่มีทางที่ปาริมาจะโกรธได้ลงเด็ดขาด