หลังจากที่หยางไป๋สวรรคตไปเจ็ดวันเว่ยจวงหวางโฮ่วก็จัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างหมดจดทุกสิ่งอย่างที่ควรจะเป็น พร้อมกับงานสถาปนาต้าหวางพระองค์ใหม่ นางเองก็ทำอะไรได้ไม่มาก หรือไม่มีปากเสียงเลยก็ว่าได้ เพราะนางไม่รู้จักเหล่าขุนนางในราชสำนักมากนัก เนื่องด้วยนางไม่ได้วางเส้นสายเอาไว้ พระราชโองการแต่งตั้งฉบับเดียวจะไปต่อกรกับเว่ยจวงได้อย่างไร นางคิดเรื่องนี้มาเจ็ดวันแล้วว่าจะหาทางพูดคุยกับเหล่าขุนนางเช่นไรที่จะเอนเอียงมาฝั่งนาง ขณะที่พวกเขาอยู่ฝั่งของเว่ยจวงกันหมด ด้วยลูกชายของนางเป็นไท่จื่อ ถือว่าเป็นต้าหวางคนต่อไป
“หมี่ฟูเหริน เจ็ดวันแล้วเว่ยหวางโฮ่วไม่เรียกฟูเหรินเข้าเฝ้าเช่นผิงเฟยคนอื่น ฟูเหรินว่ามันแปลกหรือไม่” มายาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ตอนที่ต้าหวางยังมีพระชนม์ชีพอยู่ เว่ยจวงชังน้ำหน้าข้าอยู่แล้ว พอต้าหวางจากไป คิดหรือว่านางจะมาสนใจไยดีข้า ไม่แน่ว่านางอาจจะหาทางส่งข้าไปอยู่กับต้าหวางก็ได้” หมี่ซู่จินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“แค่ฟูเหรินนำพระราชโองการออกมา เหล่าขุนนางก็พร้อมแต่งตั้งหยางจิ้นหวางเย่เป็นต้าหวาง” หลินหลังเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แค่กระดาษม้วนเดียว จะมีความหมายอะไร ไม่แน่ว่าเว่ยจวงจะหาว่าข้าแอบอ้างพระราชโองการของอดีตต้าหวาง ข้าหลับข้ารู้สึกเสียดายที่ไม่มีฐานในพระราชสำนักเพียงพอที่จะต่อกรกับนาง” ซู่จินเอ่ยบอกเช่นนี้แล้วถอนหายใจ
“พระนางยังจำสหายวัยเยาว์ได้หรือไม่” มายาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงมีความหวัง
คำพูดของมายาทำให้ซู่จินนึกชายผู้หนึ่งที่เป็นสหายตั้งแต่วัยเยาว์ ที่วิ่งเล่นด้วยกันมา เพราะจวนของเขาและจวนของนางอยู่ใกล้กัน อีกทั้งเตี่ยของเขาและเตี่ยของนางเป็นสหายกัน ด้วยเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน เมื่อสิบปีก่อนนางเข้าวัง นางได้รับแต่งตั้งเป็นฟูเหรินของหยางไป๋ นางและเขาก็ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย นางกลัวว่าเขาจะโดนติฉินนินทา
“อิ๋งเป่ยอยู่ชายแดนแคว้นเซี่ยและแคว้นเยี่ย ซึ่งอยู่ห่างไกลหลายพันลี้ ข้าจะไปขอความช่วยเหลือได้อย่างไร” ซู่จินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ว่าคนของใต้เท้าอยู่ในเมืองหลวงหลายคน หม่อมฉันจะให้คนของเราส่งข่าวเดี๋ยวนี้เลยเพคะ” หลินหลังเอ่ยบอกแล้วก้าวเดินออกไปทางหลังตำหนักทันที ทันใดนั้นขันทีของเว่ยจวงสามคนก้าวเดินเข้ามา ขันทีผู้หนึ่งนามว่าฟางจู ดูท่าทางหยิ่งทะนงทุกครั้งที่นางพบเห็น แต่ว่ายังถวายบังคมให้ซู่จินแบบขอไปที
“หมี่ฟูเหริน เว่ยหวางโฮ่วเรียกเข้าเฝ้า” ฟางจูเอ่ยบอกซู่จินด้วยน้ำเสียงทะนงตน
“ข้ารู้แล้ว” ซู่จินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
หมี่ซู่จินก้าวเดินเข้ามาในตำหนัก มายืนตรงหน้าเว่ยจวง และถวายบังคมด้วยท่าทีนอบน้อมใช้มือขวาทับมือซ้ายย่อตัวเล็กน้อย นางกำนัลของเว่ยจวงสองคนที่ยืนคอยรับใช้อยู่ในตำหนักต่างถวายบังคมซู่จินตามธรรมเนียมเช่นทุกครั้ง ถึงซู่จินจะเกลียดชังเว่ยจวงเท่าไหร่ก็ตาม แต่ต้องถวายบังคมนาง เพราะถึงอย่างไรในวังหลังแห่งนี้ เว่ยจวงก็ใหญ่ที่สุด
“หวางโฮ่ว” หมี่ซู่จินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม เว่ยจวงนำม้วนกระดาษมากางออก และมองม้วนกระดาษตรงหน้าเพียงชั่วครู่ นางค่อยๆ เงยใบหน้ามองซู่จินเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
“นี่คือพระราชโองการของอดีตต้าหวาง ให้ลูกเจ้ากินตำแหน่งเจ้าเมืองอิงสวี่ ส่วนหมี่ซู่จินตามไปอยู่กับเขาด้วย ต้าหวางรักเจ้ามากถึงอยากให้เจ้าไปอยู่ด้วย เจ้าเองก็รักพระองค์เช่นกันใช่ไหม” เว่ยจวงเอ่ยบอกเช่นนี้ หมี่ซู่จินนั่งลงคุกเข่า ถวายบังคมจรดพื้น
“ขอบพระทัยอดีตต้าหวาง ขอบพระทัยหวางโฮ่ว” ซู่จินเอ่ยบอกเช่นนี้
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ต้าหวางต่างหากที่อยากพาเจ้าไปด้วย” เว่ยจวงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“อดีตต้าหวางจากไปแล้ว ข้าก็คงต้องลาหวางโฮ่วเสียตอนนี้” ซู่จินเอ่ยบอก
“ข้าจะจัดงานศพให้เจ้าอย่างสมฐานะอย่างดี ถือว่าข้าส่งเคราะห์เจ้าเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อไปรับใช้ต้าหวางในปรโลก” เว่ยจวงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“ข้าตายไป หวางโฮ่วคงไม่ปล่อยจิ้นเอ๋อร์ไว้เป็นเสี้ยนหนาม”
“จิ้นหวางเย่ลูกของเจ้านั้นเหรอ อีกไม่นานเขาจะได้ไปพบเจ้ากันเร็วๆ นี้แน่”
“ต้าหวางพระองค์ใหม่พึ่งจะครองราชย์ได้ไม่กี่วัน หวางโฮ่วเป็นเหนียงชินก็เริ่มที่จะฆ่าคนแล้ว” ซู่จินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหดหู่ใจ แต่ทว่าเว่ยจวงแสยะยิ้ม
“ต่อไปแคว้นเซี่ยของเราจะยิ่งใหญ่ด้วยน้ำมือของหยางหลี่ลูกของข้า ส่วนเจ้าก็ไม่เตรียมตัวตามไปรับใช้อดีตต้าหวางได้แล้ว ฟางจู่ ดูแลนางอย่างดี อย่าให้นางก้าวออกจากตำหนักแม้แต่ก้าวเดียว” เว่ยจวงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พระเจ้าค่ะ หมี่ฟูเหรินเชิญพระเจ้าค่ะ” ฟางจู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม หมี่ซู่จินจึงก้าวเดินออกจากเจียวฟางกงของหวางโฮ่ว พร้อมกับฟางจูที่เดินตามนางไปทันที