(วาฬ)
ณ สำนักสักยันต์ (บ้านพรวิจิตร) เวลา 13.50 น.
เรือนไม้สักทองเก่าแก่ทั้งหลังราคาหลักสิบล้านตั้งเด่นตระหง่านเป็นจุดที่ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือ ‘สำนักสักยันต์ บ้านพรวิจิตร’ ที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของประเทศ มีลูกศิษย์ที่เคารพนับถือมากมายตั้งแต่ข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจระดับตั้งแต่เจ้าสัวจนไปถึงผู้ที่พึ่งเริ่มทำธุรกิจ ดาราศิลปินชื่อดังทั้งในประเทศนอกประเทศและประชาชนทั่วไป
ที่นี่เต็มไปด้วยความเชื่อความเคารพนับถือบูชาแก่ครูบาอาจารย์ การกระทำเพื่อเสริมให้ตัวเองล้วนเป็นสิ่งที่ใจสมมุติและทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ ทุกความเชื่อไม่มีถูกผิดหากทำแล้วตัวเองพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ตามมา เพราะนอกจากที่นี่จะเป็นสำนักสักยันต์แล้วยังขึ้นชื่อเรื่องการทำเสน่ห์ ทำของสายขาวอีกด้วย
“ถ้าอยากทำให้เขาหลงจนไปไหนไม่ได้… อาจารย์มีแนะนำมั้ยคะ” เสียงหวานของสาวคนหนึ่งพูดขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของอีกฝ่ายแต่ระยะห่างที่นั่งอยู่ไม่ไกลสามารถทำให้เขาได้ยินคำถามนั้นชัดเจน
“ของที่หยิบยืมเขามาใช้แต่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของไม่มีวันจะได้ครอบครองแม้จะใช้ด้วยเล่ห์” ชายร่างสูงที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเธอได้พูดขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่รับรู้ได้ถึงอำนาจและความน่ากลัว ทุกคนต่างรู้จักกันดีในฐานะ ‘อาจารย์วิท’ ที่เป็นเจ้าของที่นี่และเป็นพ่อของเขาด้วย
พ่อต้องดูแลทุก ๆ อย่างให้อยู่ในศีลที่เหมาะสม การเตือนลูกศิษย์อย่างตรงไปตรงมาย่อมเป็นหน้าที่ที่สำคัญ ไม่ว่าเรื่องที่พูดไปนั้นอีกฝ่ายจะยอมรับต่อหน้าหรือไม่ แต่ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจว่ากำลังทำอะไรและมัก สร้างความแปลกใจให้เสมอที่พ่อทักออกมาเองโดยที่พวกเธอไม่เคยพูดออกมา
“แต่ถ้าของดีจริงมันต้องได้สิคะ” เธอยังคงไม่ยอมจบและดูท่าจะไม่ฟังคำเตือนนั้นด้วย
ปลายเข็มแหลมทิ่มแทงลงบนผิวหนังเกิดขึ้นเป็นอักขระ เวลานี้สายตาของเขายังคงให้ความสนใจกับสิ่งที่ตัวเองทำเพราะสิ่งที่ได้ยินนั้นมันไม่ใช่ครั้งแรกของที่นี่
ทุกคนที่เข้ามาล้วนต้องการสิ่งที่ส่งเสริมให้ตัวเองดียิ่งขึ้นไปในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน บทคาถาของดีทั้งหลายที่ใครหลายคนได้รับไปมีไม่น้อยที่ผลตอบแทนของมันเหมาะสม กับสิ่งที่พวกเขาต้องจ่ายแลกมา
ในฐานะที่เป็นทายาทเพียงคนเดียวของที่นี่จะบอกว่าเขาไม่เชื่อก็คงไม่ใช่ เพราะชื่อเสียงเรียงนามของสำนัก เป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นมันยังมีอยู่จริง…
“ยังไม่หยุดอีกเหรอ… หมายถึงตัวมึงยังไม่หยุดอีกเหรอ” ครั้งนี้น้ำเสียงที่พูดออกมาจากปากของพ่อดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ทำให้ลูกศิษย์คนอื่น ๆ ต่างเริ่มรับรู้ถึงอารมณ์ของอาจารย์พวกเขา
“อาจารย์อย่าดุสิคะ ที่ขอจะเอาไปใช้กับคนที่ไม่มีเจ้าของค่ะ” สิ้นเสียงคำพูดของผู้หญิงคนนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงแรงสะกิดที่แขนของ ‘สไบ’ ลูกสาวของแม่บ้านประจำสำนัก
สไบจะคอยช่วยงานที่นี่ในช่วงวันหยุดและปิดเทอม อย่างวันนี้มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยเขา แรงสะกิดทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองไปยังหญิงที่นั่งอยู่ ทำให้พอจะรู้ว่าสิ่งที่เธอหมายถึงนั้นคือตัวเขาเอง
“หึ! จะบอกอะไรให้ สิ่งที่ได้ไปมันไม่ได้มีผลกับทุกคน แล้วบางคนที่มีสิ่งป้องกันไม่หลงกับอะไรแบบนี้หรอก” คำเตือนของพ่อทำให้หญิงคนนั้นหน้าบึ้งตึงหันกลับไปทางเดิม และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องเจอกับคำพูดแบบนี้
“พี่วาฬนี่ก็หล๊อหล่อ โดนลูกศิษย์จีบทุกวันยังไม่หวั่นไหวอีก ไม่เห็นจะมีแฟนสักที” สไบพูดขึ้นตามประสาเด็กที่คิดอะไรก็พูดออกมาเลย จะบอกว่าเด็กก็ไม่เชิงตอนนี้สไบขึ้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 4 แล้ว
โตแล้วนั่นแหละแต่ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่
“สไบ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกชื่อผู้ช่วยแล้วลดเข็มลงแล้ววางลงข้างลำตัว หยิบเอาขวดน้ำมาหมุนฝาเปิดยกขึ้นดื่ม เจ้าของชื่อกลับมาสนใจที่หน้าที่ของตัวเองทันที
“ขอโทษจ้า…พักก่อนนะคะ ลายใหญ่เดี๋ยวจะรับไม่ไหวจ้า” สไบปล่อยมือที่จับหลังเนียนของหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาออก แล้วพูดกับอีกฝ่ายด้วยเสียงที่ร่าเริงสดใส
“ความจริงไหวค่ะ สักต่อได้เลยนะคะ” เธอยกมือขึ้นจับเสื้อเอาไว้แล้วหันมาพูดกับเขาแทนที่จะพูดกับสไบ ทำเอาเด็กสาวเม้มปากราวกับกำลังมันเขี้ยว
“ลายมันใหญ่นะจ้ะหนูว่าควรพักสักหน่อย ตอนนี้พึ่งได้กลีบดอกบัวเองค่ะเหลือสาลิกาไหนจะอักขระอีก เต็มหลังจะเจ็บจนร้องไม่ออก” ช่างเป็นคำพูดที่ฟังดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร ก็เพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของสไบ
ยิ้มกว้างซะขนาดนั้นใครเขาจะไปเชื่อ…
“ตั้งนานได้แค่นั้นเองเหรอ” เพราะมองไม่เห็นด้านหลังทำให้เธอไม่รู้ว่าตอนนี้บนหลังนั้นถูกลงเข็มไปถึงไหน ดันเชื่อที่สไบพูดซะได้
“ห้าแถวเสร็จแล้วครับเหลือสาลิกาไม่ได้ได้แค่นี้อย่าไปเชื่อสไบ ที่ให้พักเผื่อจะไปเข้าห้องน้ำหรือธุระส่วนตัว ถ้าไม่ไปแล้วทนไหวจะให้ต่อเลยก็ได้ครับ” ประโยคแรกดวงตาคมชำเลืองมองไปทางสไบแล้วกลับมาสบตากับหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง
“ต่อเลยค่ะ ต่อเลย” เสียงหวานรีบตอบกลับแล้วหันหลังให้เขาตามเดิม
แผ่นหลังเนียนไร้สิ่งใดมาขวางเพราะมันถูกถอดออกจนหมด เธอมีเพียงเสื้อเชิ้ตที่สวมกลับด้านหันด้านสาบเสื้อมาข้างหลัง ฝ่ามือที่แตะลงบนหลังเป็นการส่งสัญญาณให้ได้รู้ตัวและอยู่นิ่ง ๆ
“…” เขาเริ่มการสักต่อตามที่เธอต้องการ ปลายเข็มแหลมแทงลงบนผิวหนังขึ้นเป็นลายและอักขระ
“มือนุ่มจัง” เสียงเล็กพึมพำแต่มันยังดังมากพอที่จะทำให้ทั้งเขาและสไบได้ยิน
“มือสไบเองจ้า ~” เจ้าของมือที่ว่าเป็นผู้เฉลยด้วยตัวเอง เอียงหน้าสบตาพร้อมส่งยิ้มกว้าสดใสตามฉบับของสไบ
แม้ว่าเขาจะทำหน้าที่นี้นานร่วม 5 ปีลงเข็มไปหลายร้อยคนแต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะสัมผัสตัวผู้หญิงอย่างตรงไปตรงมา ใช้เพียงเข็มในมือสัมผัสพวกเธอเท่านั้น…