“อะไรนะ! แย่แล้วทำอย่างไรดีเล่าเจ้าคะ คุณชายรองไปที่กรมคลังยังไม่กลับเลย ตอนนี้ท่านอ๋องยังพาทหารบุกจวกมาจับท่านอีก คุณหนู…”
“หมิงชินอ๋อง”
“ข้าเป็นสตรีโง่เง่าที่หลงรักชายเพียงคนเดียว “หมิงเว่ยเซียว” แม้ว่าเขาจะเกลียดข้ามากข้าก็ยังรักเพียงเขา”
“ที่แท้ก็เป็นเขา”
“คุณหนูเจ้าคะ คราวนี้แย่แน่ ๆ ท่านเคยมีปัญหากับคุณหนูซ่งอยู่หลายครั้ง ท่านอ๋องก็คิดจะเอาเรื่องมาโดยตลอดแต่ยังไม่มีโอกาส คราวนี้พระองค์ฉวยโอกาสตอนที่คุณชายรองไม่อยู่มาหาท่านที่จวนคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“จะทำอย่างไรก็ต้องไปต้อนรับน่ะสิ”
“คุณหนู แม้ว่าท่านจะชื่นชมท่านอ๋องมากเพียงใดแต่ว่าครั้งนี้…”
“ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด เหตุใดจึงต้องกลัว”
“แต่ว่า...”
“ไปกันเถอะ”
กงเหรินซินเดินออกไปยังเรือนหน้าซึ่งเป็นห้องโถงรับแขก เมื่อเดินเข้ามาถึงก็เห็นบุรุษหนุ่มในชุดสีขาวยืนหันหลังกอดอกอยู่พร้อมกับเหล่าทหารที่เขาพามาด้วย
เมื่อนางเข้ามาเขาจึงหันมามองนางอีกครั้งแต่สายตาที่ราวกับดูถูกและเห็นคนที่เกลียดยืนอยู่ตรงหน้ามิได้ทำให้เหรินซินรู้สึกอันใด
“เจ้ามาแล้วงั้นหรือ”
“คุณหนูเจ้าคะ”
เหรินซินหันไปมองหน้าสาวใช้ที่กระตุกแขนเสื้อนางแต่กลับไม่กล้าพูดอะไร สุดท้ายอาเจิงจึงได้หันไปที่บุรุษหนุ่มผู้นั้นแทน
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ โปรดทรงอภัยคือคุณหนูของหม่อมฉันอาการยังไม่หายดี…”
“พอเถอะไม่ต้องพูดแล้ว ข้ามาที่นี่มิได้มาเพื่อให้นางเสแสร้งและทำความเคารพที่น่าสะอิดสะเอียนนั่น วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อพานางไปสอบสวนตามที่ตกลงกันเอาไว้”
“ได้ ก็ไปสิ”
“หมิงเว่ยเซียว” หันไปมองใบหน้าที่หยิ่งยโสตรงหน้า แต่ใบหน้าและสายตาเช่นนี้เขาไม่คุ้นชินเอาเสียเลย แม้ว่ากงเหรินซินมักจะใช้สายตาเช่นนี้ดูถูกผู้คนแต่ไม่เคยใช้กับเขามาก่อน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ท่านอ๋องมาที่นี่ก็เพื่ออยากพาข้าไปสอบสวนมิใช่หรือ ช้าอยู่ทำไมท่านก็รีบนำทางสิ”
“นี่เจ้า!”
กงเหรินซินขมวดคิ้วทำท่าทีแปลกใจ ยิ่งนางนิ่งเท่าใดก็เหมือนจะเพิ่มโทสะให้อีกฝ่ายมากเท่านั้น ท่านอ๋องหนุ่มซึ่งเป็นถึงองค์ชายรองแห่งราชวงศ์ซานโจวที่ยิ่งใหญ่มือไม้สั่น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจงใจยั่วโทสะของเขา
“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าจับเจ้าเข้าคุกนะกงเหรินซิน! เจ้าทำสิ่งใดลงไปย่อมรู้อยู่แก่ใจดี”
“ข้าทำสิ่งใดลงไปข้าย่อมรู้แน่นอน หากท่านมัวแต่พูดอยู่แล้วเมื่อใดจะได้ไปกันเสียที ที่ท่านอ๋องรีรอเช่นนี้หรือว่ามีจุดประสงค์อื่นกันแน่”
“เจ้า! หยาบคาย ไร้การอบรม สตรีเช่นเจ้า…”
เหรินซินเดินเข้าไปใกล้ใบหน้าที่งดงามประดุจหยกที่คมคาย จมูกเป็นสันได้รูป ดวงตาของเขาดุร้ายดุจพยัคฆ์ที่กำลังจ้องตะครุบเหยื่อ เสียดายที่นางมิใช่ลูกกวางหรือกระต่ายที่จะตกเป็นเหยื่อของเขาง่าย ๆ
“ข้าทำไมงั้นหรือ”
“ทหาร! จับตัวนางไป”
“ไม่ต้อง! ข้าเดินเองได้ หรือว่าท่านอ๋องคิดว่าข้าจะหนี ท่านพาทหารบุกจวนแม่ทัพยามนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติพอแล้ว นี่ยังคิดที่จะใช้ทหารจับข้าซึ่งเป็นเพียงสตรีคนเดียว หากคนข้างนอกพบเห็นเข้าคงคิดว่าท่าน…”
“หุบปาก! กงเหรินซิน ดูเหมือนว่าตั้งแต่เจ้าฟื้นขึ้นมาเจ้าจะปากกล้ามากขึ้นนะ”
กงเหรินซินเองก็มิได้ยอมแพ้ต่อคนตรงหน้า แม้ว่าเขาจะรูปงามจนทำให้หัวใจนางกระตุกสั่นได้เพียงพบกันครั้งแรก แต่ท่าทางที่มิได้มาด้วยไมตรีเหตุใดนางต้องยื่นดอกไม้กลับไปให้เขากันเล่า สายตาดื้อดึงและเย็นชานั้นสาดใส่ชินอ๋องโดยมิได้เกรงกลัวต่อพระราชอำนาจแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ได้ทำผิดดังนั้นไม่มีอะไรที่ต้องกลัว หากอยากจะสอบสวนก็รีบไปข้าจะได้รีบกลับจวน พี่รองของข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
สายตานั้นทำเอาชินอ๋องผู้ไม่เคยหวั่นไหวหยุดชะงักไปชั่วขณะ แม้ว่าเขาจะรู้จักบุตรสกุลกงทุกคนเป็นอย่างดี แต่กับกงเหรินซินตรงหน้าที่คอยเอาแต่ตามติดเขา ตามตื๊อและชอบพอจนเกิดเรื่องราวอยู่บ่อยครั้งกลับทำให้หมิงเว่ยเซียวรู้สึกหวั่นไหวกับสายตาเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“เช่นนั้น… เชิญคุณหนูกง”
ทหารเดินผายมือให้นางก่อนที่เหรินซินจะสะบัดสายตาและไม่ใส่ใจท่านอ๋องอีก นางเดินตามทหารออกไปจากจวนและขึ้นรถม้าทันที แต่กลับไม่คิดว่าผู้ที่ขึ้นรถม้ามาด้วยจะเป็นท่านอ๋อง
“ข้าคิดว่าจะได้นั่งไปเพียงผู้เดียว”
“ขออภัยที่ต้องทำให้เจ้าผิดหวัง แต่เจ้าเป็นผู้ต้องสงสัยข้าคงไม่ปล่อยให้เจ้าได้มีโอกาสหนีเป็นแน่”
“ท่านพาทหารบุกจวนแม่ทัพอย่างอุกอาจราวกับจะจับโจรปล้นราชสำนัก แต่กลับกลัวสตรีตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวจะหนี ท่านอ๋องช่างเป็นผู้คิดการรอบคอบโดยแท้”
เมื่อพูดเสร็จนางก็สะบัดหน้าหนี หมิงเว่ยเซียวไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องโมโหเพราะท่าทางยโสเช่นนี้ของนาง หากไม่เห็นว่าเป็นบุตรีขุนศึกผู้กล้าแล้วล่ะก็เขาคงไม่ไว้หน้านางถึงเพียงนี้
จวนท่านอ๋อง
“เหตุใดท่านพาข้ามาที่นี่ สอบสวนคดีมิใช่ว่าจะต้องไปที่ว่าการหรอกหรือ”
“ไม่จำเป็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนในตำหนักของข้า ดังนั้นผู้ที่จะสอบสวนเจ้าก็คือข้า”
กงเหรินซินหันมามองพักตร์ที่เย็นชานั้นอีกครั้ง พร้อมกับพ่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่กลับทำให้ท่านอ๋องรู้สึกโมโห ตลอดทางที่นั่งรถม้ามากับนางราวกับเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย แม้ว่านางจะไม่ได้ชวนเขาคุยและให้ความสนใจที่จะมองใบหน้าของเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่กลับรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม
“เจ้าหัวเราะอันใด”
“ที่แท้ท่านอ๋องก็ใช้อำนาจในทางมิชอบ เพียงเพื่อสอบสวนข้าถึงกับต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้”
“อย่าพูดมาก พานางเข้าไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กงเหรินซินเมื่อได้ยินคำขานรับของทหารนางก็พึ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมา ท่านอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ มีศักดิ์เป็นองค์ชายหาใช่คนธรรมดาที่นางจะพูดเพียงภาษาเช่นนี้ได้
โชคดีที่เขายังไม่ทันได้สังเกตเพราะตามปกติเยว่ชิงชิงไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับคนในเมืองหลวงหรือราชสำนัก จึงไม่คุ้นเคยกับคำพูดทางการเช่นนี้
‘แย่แล้ว ข้าจะต้องเริ่มเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ให้เร็วที่สุดถึงจะเป็นกงเหรินซินได้อย่างสมบูรณ์’
เหรินซินเอาแต่คิดจนเดินมาถึงคุกใต้ดิน นางถึงกับเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าท่านอ๋องจะพามาไต่สวนที่นี่ อีกอย่างที่นี่มีทางเข้าออกเพียงทางเดียวเมื่อหันไปนางก็ถูกจัดมัดติดกับเก้าอี้เสียแล้ว
“ท่านจะทำสิ่งใดกันแน่ ปล่อยข้านะ!”
“ทำไมเล่า ท่าทางอวดดีเช่นเมื่อครู่หายไปที่ใดหมด ข้าเพียงแค่พาเจ้ามาสอบถามเล็กน้อยเท่านั้น”
“สอบถามงั้นหรือ แล้วเหตุใดจึงต้องมาสอบถามที่คุกใต้ดิน แล้วยังจับข้ามัดไว้เช่นนี้”
“ตันฉินปล่อยนาง แค่มัดข้อมือเอาไว้เฉย ๆ ก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ตันฉิน” องครักษ์ข้างกายท่านอ๋องแกะเชือกที่มัดเหรินซินกับเก้าอี้ออกเหลือแค่ข้อมือเท่านั้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วท่านอ๋องก็สั่งให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากคุกทันที
“ข้าจะถามเจ้าว่าเหตุใดต้องฆ่าน้องสาวของข้า “ซ่งจินหรู” ด้วย”
“ซ่งจินหรู” น้องสาวบุญธรรมที่พระสนมหมิงเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนสิ้นพระชนม์ นางจึงได้มาอยู่กับท่านอ๋องซึ่งทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน และท่านอ๋องก็ดูแลนางดุจน้องสาวแท้ ๆ คนหนึ่ง
“ข้ามิได้เป็นคนฆ่านาง ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีวิธีมากมายที่จะทำให้เจ้ายอมรับสารภาพได้ ทั้งเมืองหลวงแห่งนี้มีเพียงเจ้าที่มักจะมีปัญหากับจินหรู เจ้าเคยหลอกให้นางไปตำหนักเย็นที่มีแต่อดีตพระสนมที่เสียสติอยู่ และยังเคยปล่อยหนอนพิษใส่นางจนเป็นผื่นแผลในพิธีคัดอักษรเดือนแปด แล้วยัง…”
“ที่แท้ท่านอ๋องมิได้อยากสอบสวนหม่อมฉัน ที่พามาที่นี่ก็แค่อยากจะบีบบังคับให้หม่อมฉันรับผิดในสิ่งที่ไม่ได้ทำสินะเพคะ”