2. จวนโหว

1484 Words
ฮุ่ยอันถูกพาตัวมาส่งที่จวนหวังอวี้โหว ซึ่งอยู่ถัดมาอีกห้าตรอก จวนหลังนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา สามารถมองเห็นกำแพงวังได้ชัดเจน ด้านหลังติดป่าไผ่ มีลำธารไหลผ่านบรรยากาศร่มรื่นมาก ทว่าจวนหวังอวี้โหวนั้นเงียบสงัดกว่าที่อื่น เพราะเจ้าของไม่ชอบความวุ่นวาย มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เขาหย่าขาดกับฮูหยินเมื่อสิบปีก่อน ทั้งที่ยามนั้นพึ่งแต่งนางเข้ามาได้เพียงแค่สิบวันเอง สาเหตุเกิดจากอะไรไม่มีใครรู้ เพราะหลังจากนั้นฮูหยินที่ถูกหย่าก็หนีหน้าหายไปจากเมืองหลวง จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา บ้างก็ว่านางปลิดชีพตนเพราะช้ำใจ บ้างก็ว่าหวังอวี้โหวสั่งให้เอาชีวิตนาง ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นเช่นไรยังไม่มีใครทราบ และนับแต่นั้นภายในจวนหวังอวี้โหวก็ไม่รับสตรีวัยสาวเข้ามาอีก ว่ากันว่าท่านโหวไม่ชอบสตรี จึงไม่ยินดีเลี้ยงดูในจวน การหย่าร้างในครานั้นสร้างข่าวลือมากมายให้แก่เขา ทว่าท่านโหววัยสามสิบเอ็ดปีผู้นี้กลับไม่ใส่ใจอันใดเลย แม้แต่คำขอของบิดามารดา ที่ต้องการให้เขาแต่งงานมีทายาทสืบสกุล หวังอวี้โหวก็ยังไม่รับฟัง และยังย้ายออกมาอยู่ลำพังอีก ตลอดสิบปีมานี้เขาจึงกลายเป็นคนเงียบขรึม พูดน้อย ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใดนอกจากสหาย จนคนภายนอกตั้งฉายาให้ว่า ยมทูตหน้าตาย ลูกเล็กเด็กแดงเห็นเป็นต้องร้องไห้เพราะตื่นกลัวกันทั้งนั้น แม้แต่คนในจวนยังเกร็งยามหวังอวี้โหวอยู่ พวกเขาแทบไม่กล้าย่างกลายมาใกล้บริเวณที่ผู้เป็นนายพำนักด้วยซ้ำ “มันจะดีหรือแม่นมจาง” พ่อบ้านชุยเอ่ยอย่างเป็นกังวล เพราะผู้ที่ถูกพามาเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงาม หากผู้เป็นนายเห็นคงได้ไล่ตะเพิดออกไปโดยไม่ทันได้ไต่สวนเป็นแน่ “ให้อยู่ไม่นานหรอก เอาไว้ข้าหาที่อยู่ใหม่ได้จะรีบมารับตัวไป ให้นางอยู่แต่ในครัวอย่าพาออกไปก็พอ” แนะคำเหมือนที่เอ่ยกับผู้เป็นนาย อีกฝ่ายก็ยังมีท่าทางลังเลเช่นเคย “ถ้าไม่นานก็น่าจะได้อยู่ พอดียามนี้ท่านโหวออกไปสืบคดีที่ต่างเมืองด้วย คงอีกหลายวันถึงจะกลับ แม่นมก็รีบ ๆ หาที่อยู่ให้นางแล้วกัน หากท่านโหวกลับมาเจ้าต้องรีบออกไปนะ” พ่อบ้านชุยเอ่ยขึ้น ถ้าอยู่ไม่นานเขาก็พอช่วยได้ “ขอบคุณเจ้าค่ะ เอาเป็นว่าข้าน้อยจะแต่งกายเช่นบุรุษเหมือนคนงานชายที่นี่ก็แล้วกัน จะได้ไม่เกิดข้อสงสัยให้มีปัญหาในภายหน้า” ฮุ่ยอันเสนอแนะ ก่อนจะยิ้มหวานส่งให้ “ก็ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านล่ะ ส่วนเรื่องห้องพัก มันเหลือแค่ห้องเล็กทางด้านหลังนะ เจ้าอยู่ได้หรือไม่” “ได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยอยู่ได้หมด นอนในตรอกก็ยังเคย แค่มีหลังคาคุ้มหัวก็อุ่นใจแล้วเจ้าค่ะ” บอกไปตามจริง นางไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง แม้ว่าหน้าตาจะดูเหมือนคุณหนูก็เถอะ อยู่ในยุคปัจจุบันนางก็ทำอาชีพเป็นพรานนำทางคณะสำรวจ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของนักธรณีวิทยา หรือคณะสำรวจวัตถุโบราณ ก็ล้วนแต่เรียกใช้บริการของฮุ่ยอันทั้งนั้น เพราะนางเป็นพรานที่มีความรู้มาก เก่งการต่อสู้ รู้ทิศทางลมเป็นอย่างดี ระแวดระวังสัตว์ร้ายได้ ที่สำคัญยังเก่งวิชาแพทย์สมุนไพรด้วย เรียกได้ว่าจ้างนางคนเดียวก็คุ้มแล้ว แต่ใครจะคิดหล่ะว่างานที่รับในหนนี้จะเป็นงานสุดท้าย ที่ทำให้ฟางฮุ่ยอันไม่มีโอกาสกลับไปยังโลกของตนเองอีก นางคิดว่าสาเหตุมาจากแหวนหยกเขียวที่เก็บได้ในถ้ำ ตอนที่เข้าไปสำรวจพร้อมกับทุกคน เพราะทันทีที่ลองสวมมัน ผู้คนรอบตัวก็มลายหายไป นางพยายามถอดแหวนแต่ก็ถอดไม่ออก สุดท้ายฮุ่ยอันเลยต้องเคว้งอยู่ลำพัง จนกระทั่งออกจากป่าได้ นางจึงได้รู้ว่าตนนั้นไม่ได้อยู่ในยุคเดิมอีกต่อไปแล้ว ไม่มีรถ ไม่มีตึกรามบ้านช่องในแบบที่ตนเคยเห็น มีเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่ ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นจากดินเหนียว ก่อขึ้นเป็นผนังกำแพง บ้านไหนดีหน่อยก็ปลูกด้วยไม้ทั้งหลัง ไม่มีซีเมนต์เป็นส่วนประกอบให้เห็น ทุกอย่างล้วนแต่ทำขึ้นจากดิน เพียงเท่านั้นหญิงสาววัยสิบแปดปีก็ประจักษ์แล้วว่าตนอยู่ในยุคอื่น นางจึงพยายามหาทางเอาตัวรอดในโลกที่ต่างออกไป ซึ่งมันยากเย็นมากเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน สุดท้ายก็กลายเป็นคนเร่ร่อนจนมาถึงเมืองหลวง นางหวังจะหางานทำ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะสภาพในยามนั้น ฮุ่ยอันเหมือนขอทานไม่มีผิด เสื้อผ้าที่ใส่ก็ต่างจากคนทั่วไป จนผู้คนมองว่าประหลาด ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ดีที่นางได้เข้าช่วยเหลือคุณหนูสามตระกูลหวัง จึงทำให้อีกฝ่ายเมตตารับเลี้ยงเมื่อห้าวันก่อน ทว่าโชคชะตาก็ดันเล่นตลก ทำให้นางมีปัญหากับคนสนิทของคุณหนูรองจนเกือบตาย สุดท้ายก็ต้องมาอยู่ในจวนโหวแห่งนี้ เมื่อตกลงกันได้ว่าจะเอาอย่างไร แม่นมจางก็ขอตัวกลับ และไม่ลืมกำชับฮุ่ยอันด้วยความเป็นห่วง แม่นมคิดว่าสตรีตรงหน้าไม่ได้ร้ายกาจอันใด นางทำไปก็เพื่อปกป้องตนเอง คนในจวนต่างก็รู้ว่าเหม่ยลี่ถือดีเพียงใด ที่สำคัญคือมีใจริษยามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอเห็นใครได้ดีกว่าก็ไม่ชอบ มักหาเรื่องกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ เพราะถือว่าตนเป็นคนโปรดของคุณหนูรอง ซึ่งเป็นบุตรสาวคนเดียวของฮูหยินใหญ่ ต่างจากหวังอวี้โหวและคุณหนูสามที่เป็นเพียงบุตรของฮูหยินรอง ทว่าทั้งคู่มีอายุที่ห่างกันมาก หวังอวี้โหวมีอายุสามสิบเอ็ดปีแล้ว ส่วนหวังจินเหยียนนั้นพึ่งจะสิบเจ็ดปีเอง ส่วนพี่สาวคนละแม่อย่างคุณหนูรองจินเซียง นางมีอายุยี่สิบสามปีแล้ว ทว่ายังไม่ได้ออกเรือนไปกับผู้ใด แม่นมจางจากไปแล้ว ฮุ่ยอันจึงถูกพาตัวไปยังเรือนพักทางด้านหลัง ดีหน่อยที่ยามนี้ไม่ค่อยมีคน เพราะในจวนมีบ่าวไพร่ไม่ถึงสิบ และยามกลางวันพวกเขาจะไปทำความสะอาดเรือนใหญ่ จึงไม่มีคนเดินไปเดินมาให้เห็นเช่นจวนอื่น “เงียบดีแฮะ” พึมพำเสียงเบา นางสอดส่ายสายตาสำรวจไปทั่วบริเวณ โดยรอบไม่มีคนเลยแม้แต่เวรยาม มีก็ที่หน้าประตูทางเข้าเลย ทว่าประตูทางด้านหลังกลับไม่มีใครเฝ้า แต่ก็นั่นแหละ กิติศัพท์ท่านโหวโหดเหี้ยมเพียงใดทุกคนต่างก็ประจักษ์ดี ขนาดคนที่พึ่งมาอยู่ในยุคนี้แค่สิบวันยังรู้เลย มีหรือบรรดานักย่องเบาทั้งหลายจะไม่รู้ ต่อให้เปิดประตูอ้าไว้ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาในจวนนี้หรอก เพราะพวกมันอาจออกไปได้แค่ร่าง แต่ทิ้งวิญญาณไว้ที่นี่แทน “วันนี้เจ้าก็พักไปก่อนก็แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าจะเอาชุดคนงานมาให้เปลี่ยน จำไว้อย่าออกไปเดินเพ่นพ่าน เพราะท่านโหวกลับจวนไม่เป็นเวลานัก ทางที่ดีเจ้าควรอยู่แต่ด้านหลัง ท่านโหวจะไม่มาแถวนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวัง” พ่อบ้านชุยกำชับ “ขอรับท่านพ่อบ้าน” หญิงสาวแสร้งทำเสียงใหญ่ อีกฝ่ายจึงได้แต่ยิ้มเอ็นดู ก่อนจะเดินออกไป ฮุ่ยอันจึงเดินมาปิดประตูแล้วหันกลับมาสำรวจภายในห้อง ริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อเผยยิ้ม สองเท้าเดินตรงมาที่เตียงไม้ขนาดเล็ก ซึ่งมีแค่ผ้าห่มผืนบางพับอยู่ หมอนก็เป็นทรงสี่เหลี่ยมยกสูง หากหนุนลงไปมีหวังได้คอเคล็ดเป็นแน่ ทว่ามันก็ดีกว่านอนในตรอกเป็นไหน ๆ “ทนไปก่อนนะฮุ่ยอัน เอาไว้ตั้งหลักได้เราค่อยหาลู่ทางอีกที” #อดทนนะลูก มีหลังคาคุ้มหัวก็ดีแล้ว ฝากกดใจให้ด้วยนะคะ ขอบพระคุณทุกคนที่แวะเข้ามาค่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD