หวังอวี้มองท่านหมอนั่งเกาะขอบหน้าต่างแน่นก็อดเอ็นดูไม่ได้ ดูท่าเมื่อครู่นางคงตกใจอยู่ไม่น้อย
“หิวหรือยัง” เอ่ยถามเสียงอ่อน ต่างจากตอนขึ้นรถม้ามาก
“เจ้าค่ะ” ตอบอ้อมแอ้ม ใจก็กลัวเขาจะว่านั่นแหละ เสียงดุของท่านโหวก่อนหน้านี้มันยังก้องในหัวอยู่เลย
“งั้นกินขนมนี่รองท้องไปก่อน เพราะอีกครึ่งชั่วยามจึงจะถึงจุดพักม้า” เอ่ยพร้อมกับยื่นจานส่งให้ คนตัวเล็กก็รับมาและกล่าวคำขอบคุณตามมารยาท จากนั้นก็หยิบขนมเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ เพราะการเดินทางนี้ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว ท่านโหวไม่ได้สั่งให้หยุดพักเลยสักครั้ง ทำให้ฮุ่ยอันหิวเป็นอย่างมาก
“นี่กินไม่คิดจะเหลือให้เจ้านายบ้างหรือ” เสียงท้วงดังมา ทำให้คนที่กำลังกัดขนมชิ้นสุดท้ายต้องอ้าปากเก้อ หันกลับมามองหน้าเขาแล้วก้มลงมองจานในมือ
นางเผยยิ้มแห้งให้เขา พร้อมกับยื่นขนมชิ้นสุดท้ายให้ ยู่ปากพร้อมกับกะพริบตาถี่มองอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะตาโตเมื่อท่านโหวโน้มตัวเข้ามาใกล้ จากนั้นก็อ้าปากกัดขนมในมือนาง ฮุ่ยอันจึงรีบปล่อยยกให้เขาไปทั้งอัน
“อร่อยแบบนี้นี่เอง เจ้าถึงกินโดยไม่คิดจะเหลือให้ข้าเลย” แสร้งตำหนิให้คนตัวเล็กรู้สึกผิดเข้าไปอีก
“ข้าน้อยขออภัยเจ้าค่ะ คิดว่ามันยังมีอีก ก็เลย” ตอบเสียงอ่อย ก่อนจะกวาดสายตามองหาสิ่งที่ตนพูดถึง ซึ่งมันไม่มีอย่างที่คิด บนถาดที่วางอยู่มีเพียงกาน้ำชาและจอกสองใบเท่านั้น
และมันเป็นปกติเช่นนี้อยู่แล้ว ท่านโหวไม่ชอบกินของหวาน ธรรมดาบนรถม้าเขาจะมีแค่น้ำชาไว้ดับกระหายเท่านั้น วันนี้ที่มีขนมก็เพราะเขาสั่งคนสนิทเตรียมไว้สำหรับฮุ่ยอันโดยเฉพาะ
“เอาเถอะ ถือว่าเจ้าติดค้างข้าก็แล้วกัน” ยังมิวายแกล้งต่อ เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของหญิงสาว ‘หึ! ไร้เดียงสาเสียจริง หลอกง่ายแบบนี้ก็ดี ภายหน้าจะได้คุมง่าย ๆ’ นึกในใจเมื่อเห็นท่าทางนาง มือขาวกำลังหยิกนิ้วตนเองอีกแล้ว
“รินชาให้ทีสิ” ลองออกคำสั่งดู เขาอยากรู้ว่านางจะเชื่อฟังดีหรือไม่ ร่างเล็กถึงกับสะดุ้งโหยงก่อนจะรีบทำตามที่เขาบอก
“อ้ะ!...เจ็บ” แค่ยกกาน้ำขึ้นมันก็ถูกปล่อยลงทันที
หวังอวี้จึงรีบคว้ามือขาวมาดู “ทำไมมันแดงอย่างนี้ล่ะ” มือเรียวลูบวนที่ข้อแขนอย่างเบามือ แววตาเขาดูเป็นกังวลมาก
“เอ่อ…ข้าน้อยคงนอนทับนานไปเจ้าค่ะ อีกสักพักก็หาย” บอกพร้อมกับดึงมือออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย ก่อนจะตั้งท่าใช้มืออีกข้างยกกาน้ำชาเพื่อรินให้เขา
“ไม่ต้องเดี๋ยวข้าทำเอง” เอ่ยพร้อมกับแย่งไปถือไว้ จากนั้นเขาก็รินชาส่งให้นางแทน ฮุ่ยอันก็รับมาดื่มดับกระหาย ซึ่งเขาก็ทำไม่ต่างกัน และเวลานี้เองที่หญิงสาวลอบยิ้ม
ก่อนที่นางจะหุบมันลง แล้วเอ่ยคำพูดกับเขาอย่างอ่อนน้อม “ขอบคุณท่านโหวเจ้าค่ะ ท่านดีกับข้าเหลือเกิน” เอ่ยอย่างสำนึกบุญคุณ เผยยิ้มบางส่งให้เขาตามมารยาท
“รู้ก็ดี ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังข้าให้มากเข้าใจหรือไม่” ยังมิวายกำชับนาง “เอาชาอีกไหม” เอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือออกมาคว้าเอาจอกในมือนางไปทำอย่างที่พูด ก่อนจะส่งคืนให้อย่างระมัดระวัง เพราะหวังอวี้เกรงว่ามันจะหกใส่อาภรณ์นาง
“ขอบคุณท่านโหว ฮุ่ยอันจะจงรักภักดีต่อท่านผู้เดียวเจ้าค่ะ” เอ่ยบอกเสียงหวานก่อนจะยกชาขึ้นดื่มจนหมด คนตัวโตจึงยกมุมปากขึ้น เมื่อเห็นนางมีท่าทางเชื่อฟังดี
“ยื่นแขนมา ข้าจะทายาให้” กล่าวพร้อมกับเอื้อมมือมาจับแขนนาง จากนั้นเขาก็ทำอย่างที่พูด
ฮุ่ยอันจึงได้แต่ยิ้มอายกับการกระทำของเขา มันยิ่งขับให้แก้มเนียนใสนั้นน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก เป็นที่ถูกใจท่านโหวยิ่งนัก หวังอวี้นึกไม่ถึงว่าฮุ่ยอันจะอ่อนต่อโลกถึงเพียงนี้
แค่เขาแสร้งใส่ใจดูแลเป็นอย่างดี นางก็หลงกลโดยง่าย ไม่สมกับความฉลาดเฉลียวที่เคยมีเมื่อครั้งพบกันคราแรกเลย หรือว่าเขามองนางผิดไปกระนั้นหรือ ก็ไม่น่าจะใช่
หวังอวี้ครุ่นคิดไปพร้อมกับนวดข้อมือให้นาง จนหญิงสาวรู้สึกกระดากอายขึ้นมา นางจึงเอ่ยกับเขาเสียงเบา
“ทะ…ท่านโหว ข้าน้อยดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ท่านปล่อยมือเถิด” หันหนีนัยน์ตาคมของอีกฝ่ายที่จ้องมา
“งะ ..งั้นหรือ” มือเรียวรีบคลายออกทันที หญิงสาวจึงรีบขยับชิดขอบหน้าต่าง ไม่แม้แต่จะหันมามองเขา หวังอวี้ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อเช่นกัน เขาปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมจนกระทั่งถึงจุดพักม้า ท่านโหวก็พานางลงมา
“เจาหยางไปจัดการเรื่องห้องพัก รู้สึกว่าวันนี้จะมีคนมากกว่าปกติ ระวังตัวกันให้ดีเข้าใจหรือไม่” ออกคำสั่งกับคนของตน ก่อนจะหันมาหาหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม ทว่ายามนี้นางเดินเลี่ยงไปที่บึงน้ำใกล้ ๆ แล้ว
ฮุ่ยอันกำลังมองสำรวจสถานที่แห่งนี้พร้อมกับนึกในใจ ‘ถ้าจำไม่ผิดที่นี่คือเขตรอยต่อของเมืองชวาและเมืองจิว จำได้ว่าเราเคยอ่านในตำราของดอกเตอร์พอล ระบุว่าทางทิศเหนือของจุดนี้ห่างออกไปห้ากิโลเมตรคือหุบเขาชีเซียง ตอนนั้นเรานำทางคณะธรณีวิทยาออกสำรวจเมื่อสองปีก่อน ค้นพบแร่เหล็กมากมายฝังในดินลึกลงไปสองเมตร ถ้าเราบอกเรื่องนี้กับทุกคนจะมีใครเชื่อไหมนะ’ มัวแต่นึกจนไม่รู้ว่ามีใครมายืนซ้อนหลังอยู่
“ชี้มือชี้ไม้ทำไม” คนตัวโตเอ่ยถาม พร้อมกับมองตามเส้นทางที่นางชี้เมื่อครู่ สิ่งที่เห็นคือภูเขาสูงที่ห่างออกไปไม่ไกล
“เปล่าเจ้าค่ะ แค่เห็นนกสีสันสดใสกำลังบิน ก็เลยชี้เฉย ๆ” ฮุ่ยอันรีบตอบเลี่ยง ก่อนจะยิ้มแหยส่งให้เขา
หวังอวี้ไม่ได้เชื่อคำนางสักนิด เพราะเขายืนมองอยู่นานแล้ว บนท้องฟ้าไม่เห็นมีนกเลยสักตัว และนิ้วของนางก็ชี้ไปที่ภูเขาลูกนั้นแน่นอน ทว่าเขาก็ไม่คิดจะซักไซ้ไล่เลียงอันใด
“เข้าข้างในกันเถอะ ไม่หิวหรือ” กล่าวพร้อมกับรั้งแขนนาง
ฮุ่ยอันก็เดินตามอย่างว่าง่าย จนกระทั่งกลุ่มของท่านโหวที่มีกันอยู่สิบคนเข้าไปด้านใน แขกที่นั่งอยู่จึงหันมามองทั้งหมดเป็นตาเดียว โดยเฉพาะสตรีที่มีใบหน้างดงามอย่างฮุ่ยอัน
“ท่านโหว! ท่านโหว! ช่วยข้าน้อยด้วย” หญิงสาวร่างอรชรวิ่งลงมาจากด้านบน นางพุ่งเข้ามาหาหวังอวี้โหวอย่างตั้งใจ
“เจ้าเป็นใคร” เอ่ยถามเสียงเรียบ มองสตรีที่วิ่งเข้ามาหาก่อนจะเกาะแขนเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย สร้างความหงุดหงิดให้กับหวังอวี้โหวเป็นอย่างมาก เพราะนางวิ่งมาชนฮุ่ยอันจนเซถลาออกห่างเขาไป ดีที่คนสนิทประคองไว้ได้ทัน
“ข้าน้อยคือบุตรสาวเจ้ากรมอาลักษณ์เจ้าค่ะ คนเหล่านี้จับตัวข้าน้อยมา หมายจะเรียกค่าไถ่กับท่านพ่อเจ้าค่ะ ท่านโหวโปรดช่วยข้าน้อยด้วย” นางส่งเสียงร้องไห้อ้อนวอนอย่างน่าสงสาร ทำให้แขกที่เข้ามาพักต่างก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
ชายฉกรรจ์ห้าคนได้ยินว่ากลุ่มคนด้านล่างเป็นใคร พวกมันก็รีบแยกย้ายกันหนีไปกันคนละทิศละทาง
“จับพวกมันกลับมาให้ได้” หวังอวี้ออกคำสั่งเสียงดัง เหล่า องครักษ์จึงรีบกระจายตัวกันไปตามล่าคนร้าย
“ขอบคุณท่านโหวเจ้าค่ะ” หญิงสาวหน้าตาดีเอ่ยขึ้น มือก็ยังเกาะอยู่ที่แขนหวังอวี้ไม่ยอมปล่อย
“ข้าได้ยินว่าท่านโหวไม่ชอบเข้าใกล้สตรี สงสัยข่าวลือจะเป็นเท็จแล้วกระมัง” ฮุ่ยอันเอียงหน้าป้องปากเอ่ยกับโม่ฟาน ก่อนจะคว่ำปากใส่เขาด้วยความหมั่นไส้ “ชิ”
#ตกลงใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าว 555