“เหนื่อยมากหรือ” หวังอวี้โหวกล่าวพร้อมกับนั่งลงข้างกัน ทำเอาคนที่กำลังเพลินกับบรรยากาศถึงกับผงะ ไม่กล้าหันมาสบตาเขาตรง ๆ เพราะเกรงอีกฝ่ายจะจำตนได้
“ท่านโหวมาตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ” เอ่ยพร้อมกับควานหาผ้าผูกหน้า ทว่ามือนางดันปัดไปโดน ทำมันตกน้ำลอยไปเสียแล้ว ความกังวลจึงเริ่มตีรวนขึ้นมามากกว่าเดิม ถ้าเขาจำได้ว่าตนคือเด็กหนุ่มที่เป่ายาสลบใส่ในวันนั้น จะทำเช่นไรดี
หวังอวี้ยังคงนิ่งเพราะเขากำลังเพ่งพินิจใบหน้าของนางอยู่ มันดูคุ้นจนเขาไม่อาจละสายตาได้ มากไปกว่านั้นกลิ่นหอมที่อยู่บนตัวฮุ่ยอัน มันทำให้เขานึกถึงเจ้าหนุ่มนั่นอีกแล้ว
“เอ่อ ข้าน้อยยังมียาที่ต้องปรุงอีก ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” เอ่ยจบก็รีบลุกเพื่อกลับเข้าด้านใน เพราะท่าทางท่านโหวไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด แม้ไม่ได้มองตรง ๆ แต่หางตาก็เห็นว่าเขาจ้องอยู่
มือเรียวยื่นออกมารั้งแขนไว้ทันที ทำให้เท้าที่ก้าวขึ้นบันไดต้องหยุดชะงัก ยืนตัวแข็งทื่อไม่กล้าหันมองผู้ที่กำลังเหยียดกายลุกขึ้นยืนแม้แต่น้อย นางเผยอาการประหม่าออกมาทันที
“สามีของเจ้าเคยทำงานที่จวนหวังอวี้โหวใช่หรือไม่”
ใบหน้างามหันขวับมองเขาด้วยความฉงน พร้อมกับกะพริบตาถี่ และนึกในใจ ‘ท่านโหวดูไม่ออกจริงหรือนี่’
ฮุ่ยอันมองหน้าท่านโหวด้วยความมึนงง เมื่อได้ยินคำถามที่เขาเอ่ย นี่มันหมายถึงเขาจำนางไม่ได้จริง ๆ เช่นนั้นนางก็ควรโมเมยอมรับมันเสียเลย “ใช่เจ้าค่ะ พี่สุยอันทำงานที่จวนหวังโหว แต่ไม่รู้มีปัญหาอันใด เขาบอกเพียงว่ามีคนจ้องจะทำร้าย อยากหนีไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่น ข้าน้อยก็ไม่มีใครจึงได้ยอมตามเขามา แต่นึกไม่ถึงว่า” เอ่ยไม่ทันจบก็ตีหน้าเศร้าใส่คนตรงหน้าไปอีก
มือขาวทำทียกขึ้นซับน้ำตาตนเมื่อเอ่ยถึงสามีที่จากไป ทำเอาคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับทำตัวไม่ถูก เกิดมาหวังอวี้ยังไม่เคยปลอบใครเลย พอเห็นน้ำตาอาการประหม่าก็เผยออกมา
“เอ่อ…ข้าขอโทษ เจ้าอย่าร้องเลยนะ ข้าผิดเองที่เอ่ยถึงสามีเจ้า เอาล่ะต่อไปข้าจะไม่พูดอีกนะ” โน้มตัวเอียงหน้ามองคนที่เอาแต่สะอื้นไห้ ก่อนจะเผลอยื่นมือออกมาจับนิ้วขาวของนางที่ซับน้ำตาอยู่ ทำให้ทั้งคู่ได้สบตากันอย่างเลี่ยงไม่ได้
หวังอวี้ยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น นัยน์ตาเขายามนี้กำลังมองสำรวจใบหน้างามของฮุ่ยอัน ดวงตานางกลมโตสุกสกาวเหมือนดวงดาวบนท้องนภา แก้มหรือก็เนียนใสน่าทะนุถนอม ริมฝีปากก็แดงเรื่อน่าสัมผัส สตรีผู้นี้ช่างดึงดูดดีเหลือเกิน ทว่ามากไปกว่านั้นคือ นางช่างเหมือนเจ้าหนุ่มนั่นจริง ๆ
“ท่านโหว รุ่ยอ๋องเสด็จมาขอรับ” โม่ฟานรีบรายงาน ทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในภวังค์ต้องรีบหันไปยังเส้นทางที่รถม้ากำลังเคลื่อนมา ก่อนจะหันมาหาคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างกาย หวังอวี้รีบล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าตนออกมา ก่อนจะใช้มันมัดให้ฮุ่ยอัน
“อย่าให้รุ่ยอ๋องเห็นใบหน้าเด็ดขาด หากทรงถูกพระทัยขึ้นมาเขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่ แต่ถ้าเจ้าอยากสุขสบายก็ปลดผ้านี้ออกได้เลย” แนะหนทางให้นาง แม้ในใจจะหวั่นกลัวเกรงนางจะทำอย่างที่เขาบอก
“ขอบคุณท่านโหว ฮุ่ยอันไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนในวังเจ้าค่ะ ขอท่านโหวช่วยปกป้องฮุ่ยอันด้วย” เอ่ยร้องขอเขาเสียเลย เพราะนางไม่อยากเป็นสตรีในปกครองของคนเจ้าชู้อย่างรุ่ยอ๋องผู้นี้ กิติศัพท์ที่ได้ยินมาเขาไม่ควรเข้าใกล้สักนิด
“เจ้าแน่ใจหรือ” ถามย้ำในคำตอบของนาง
“เจ้าค่ะ แต่ถ้าท่านโหวลำบากใจ ฮุ่ยอันจะไม่รบ…”
“ได้ ข้าจะช่วยเจ้า” อีกฝ่ายยังเอ่ยไม่ทันจบ เขาก็ชิงรับปากเสียแล้ว คนฟังจึงได้แต่ยิ้มบางภายใต้ผ้าปิดหน้า นึกไม่ถึงว่าหวังอวี้โหวจะมีใจเมตตากับสตรีด้วย เพราะคำล่ำลือที่ได้ยินมาเขาไม่น่าจะใจดีเช่นนี้ มันผิดวิสัยจนเกินไป นางจึงเกรงว่าเขาจะมีแผน ภายหน้าคงต้องระวังให้มากแล้ว
เมื่อปิดบังใบหน้าเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่ก็เดินกลับเข้าไปในเรือนเพื่อออกไปต้อนรับผู้ที่กำลังลงจากรถม้า
“หวังอวี้เจ้าก็อยู่หรือ” เฟิงหรานเอ่ยถามทันทีที่เดินมาถึงหน้าเรือน สายตาเขายังคงจับจ้องที่สตรีร่างเล็กเช่นเคย เพราะนางมีรูปร่างและผิวพรรณที่น่าจับต้อง อีกอย่างคือยังไม่ทันได้เห็นหน้านาง จึงไม่แปลกที่เขาจะสนใจเพียงนี้
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพึ่งกลับมาจากสืบเรื่องคนวางยาในแม่น้ำ อยากหารือกับรุ่ยอ๋องในเรื่องนี้อยู่พอดี” หวังอวี้รีบเอ่ยดึงความสนใจของอีกฝ่ายที่เอาแต่จดจ้องสตรีข้างกายเขา สายตาสหายมันดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
“เช่นนั้นก็ไปที่ห้องโถงเถิด” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องงาน เฟิงหรานก็เบี่ยงเบนความสนใจทันที สำหรับเขาหน้าที่ต้องมาก่อน ยามนี้ทั้งหมดจึงมานั่งอยู่ในห้องโถงของจวน
“เป็นฝีมือแคว้นเฉียวจริงหรือหวังอวี้” เอ่ยถามสหายหลังจากได้รับรายงานว่าเรื่องที่เกิดนั้นมีมูลเหตุมาจากต่างแคว้น
“พ่ะย่ะค่ะ หลังจากรู้ว่าเหตุการณ์ครานี้มิใช่โรคระบาดอย่างที่เราเข้าใจ กระหม่อมก็ส่งคนของเราตรวจสอบทุกจุด จึงได้รู้ว่าคนจากแคว้นเฉียวได้ลักลอบเข้ามาทางหุบเขาที่ติดกับเมืองชวา มันใส่ยาพิษลงที่ต้นน้ำทำให้ผู้คนที่ใช้น้ำในลำคลองแห่งนี้เริ่มป่วย รวมถึงทหารในค่ายของเราด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ที่ฝั่งชายแดนพวกมันกำลังระดมพลกันแล้ว คาดว่าศึกสงครามคงเกิดในไม่ช้านี้พ่ะย่ะค่ะ” คำของหวังอวี้โหวทำเอาคนในห้องต่างก็นิ่งงันไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะฮุ่ยอัน
‘ถ้าเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ เราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะทีนี้ เงินที่ได้มาก็ซื้อที่กับปลูกบ้านไปแล้ว ถ้าต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นมีหวังต้องกลับไปเป็นคนรับใช้อีกแน่’ นึกในใจอย่างกังวล และท่าทางของฮุ่ยอันก็อยู่ในสายตาของหวังอวี้โหวทุกอิริยาบท
“กระหม่อมออกคำสั่งให้เจ้าเมืองแต่ละแห่งอพยพราษฎรออกนอกพื้นที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพภาคได้นำกำลังที่มีอยู่ไปประจำการที่เมืองชวาแล้ว เผื่อฝ่ายนั้นบุกมาเราจะได้ตั้งรับศึกทัน” หวังอวี้เอ่ยในสิ่งที่เขาทำก่อนจะเดินทางกลับมา
ฮุ่ยอันเงยหน้ามองผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยใจที่ห่อเหี่ยว นึกถึงเรือนหลังน้อยของตน หากเกิดสงครามขึ้นมาจริง นางคงกลับไปไม่ได้อีกจนกว่าทุกอย่างจะสงบสุข ถึงตอนนั้นมันจะยังอยู่ในสภาพเดิมหรือเปล่านะ คงมิวายถูกเผาไปเป็นแน่
“เช่นนั้นข้าคงต้องรีบเดินทางไปยังเมืองชวา เจ้าก็อยู่ดูแลเรื่องรักษาคนป่วยที่นี่ก็แล้วกัน ยังมีชาวบ้านและทหารที่ยังต้องการความช่วยเหลืออีก ข้าขอฝากเจ้าด้วยนะหวังอวี้” เอ่ยจบก็เดินมาจับไหล่สหาย ตบสองสามทีก็จากไป โดยไม่สนใจสตรีที่เขาเคยจับจ้องก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย รุ่ยอ๋องมักจะเป็นเช่นนี้ยามมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง เขาจะจริงจังมาก
ฮุ่ยอันมองตามร่างสูงของผู้สูงศักดิ์ ดวงตาสวยหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด นึกถึงแต่ข่าวสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
“เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ ข้าเห็นนั่งเกร็งไม่พูดไม่จาอันใดเลย” หวังอวี้เอ่ยถามในขณะที่เขาเดินตรงมานั่งลงข้างนาง สายตายังคงจับจ้องที่ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุม
“ปกติยามเกิดสงคราม หากต่างแคว้นรุกรานเข้ามา พวกเขาจะเผาบ้านเรือนของราษฎรใช่หรือไม่เจ้าคะ” ถามเสียงเครือ นึกถึงบ้านหลังน้อยของตนที่พึ่งสร้างขึ้นไม่ถึงเดือน ที่สำคัญจ่ายเงินไปจนเกือบหมดตัวเสียด้วย
“ใช่ เพื่อตัดกำลังไปในตัว พวกมันจะค้นหาเสบียงตามบ้านเรือนทุกหลัง จากนั้นก็เผาทำลายหากพบคนก็จับไปเป็นทาส หากเป็นสตรีก็” หวังอวี้หยุดคำไว้แค่นั้น เขาเกรงว่านางจะตื่นตระหนก หากได้ฟังเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงในสงคราม ซึ่งยามนี้ดวงตาสวยหม่นลงอีกคราแล้ว ยังความกังวลมาให้เขาเป็นอย่างมาก และความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับหวังอวี้โหวเลย
#เอาล่ะสิ งวดก่อนได้เงินก็ซื้อที่ จ้างคนสร้างบ้านจนเงินหมด เกิดสงครามขึ้นลูกสาวเราจะไปอยู่ไหนล่ะ