หลังจากไตร่ตรองเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็หันมาจัดการบาดแผลบนหัว ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับลูกสาวหมอยาชื่อดัง เพราะร่ำเรียนมาสายนี้โดยเฉพาะ พอเรียนจบก็เปิดร้านอาหารและร้านสมุนไพรกิจการตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ สตรีที่อยู่ในร่างนี้จึงรอบรู้การรักษาเป็นอย่างดี
“แบบนี้แกก็กลับไปโลกปัจจุบันไม่ได้แล้วสิ จางลู่ซิง” บอกกับตัวเองเสียงแผ่วเบา ก่อนจะถอนหายใจแรง
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน จวนอ๋องแปดก็ยังคงเงียบเชียบ บ่าวรับใช้ก็เก็บตัวอยู่ในหอนอนของตน เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใด หมดอาลัยตายอยากออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ ยามนี้มีทหารเฝ้ายามอยู่รอบจวนเต็มไปหมด เพราะฮ่องเต้มีรับสั่งมิให้ใครเข้าออก แทนที่จะสั่งประหารตามฏีกาของชาวเมืองที่ส่งเข้ามา รวมถึงเหล่าขุนนางที่พากันเห็นชอบ แม้ก่อนนั้นจะชื่นชมอ๋องแปดมากก็เถอะ
“หรานเอ๋อ ตอนนี้เราถูกขังใช่ไหม” ถ้อยคำในยุคปัจจุบันยังคงเปล่งออกมา คนฟังก็ได้แต่มองด้วยสายตาฉงน แต่ก็พอเข้าใจสิ่งที่นางเอ่ยจึงตอบ
“ใช่ อาหารที่มีก็เหลือน้อยเต็มที หากท่านอ๋องไม่ดีขึ้นเราก็คงต้องอดตาย” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาทำคนฟังหดหู่ยิ่งนัก เพ่ยหลันยิ้มแห้งใส่แล้วนึกในใจ
“เห้อ! อุตส่าห์ได้เกิดใหม่แล้วแท้ๆ ดันจะอดข้าวตายซะได้ แบบนี้จะให้โผล่มาที่นี่ทำไมกัน”
“หากสิ้นท่านอ๋องไปพวกเราคงถูกประหารไปด้วย ชาวเมืองไม่มีทางปล่อยไว้เป็นแน่”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วท่านอ๋องเขาป่วยเป็นอะไร” เมื่อได้ยินเรื่องราวของคนจวนนี้ นางจึงอยากรู้ที่มา
“มิทราบ หมอหลวง หมอชื่อดังในเมืองต่างก็ไม่รู้ว่าล้มป่วยได้อย่างไร ตรวจเช็คอาการก็ไม่รู้สาเหตุ คนรักข้าก็เป็นเช่นกัน ยังมีขุนนางในกรมพิธีการอีกสามคนที่ล้มป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งที่มิได้พบเจอกันแม้แต่น้อย”
คิ้วสวยผูกกันเป็นปม “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ถ้าโรคติดต่อมันก็น่าจะเกิดกับคนในจวนสิเพราะอยู่ใกล้ชิด ทำไมคนที่ไม่เคยพบกลับป่วยเหมือนกันได้ หรือว่าเขาไม่ได้ป่วย แต่เป็นอย่างอื่น” นิ้วเรียวยกขึ้นมาเคาะที่แก้มเบาๆ นางเดินไปมาเพราะกำลังใช้ความคิด
“เพ่ยหลัน ไยท่าทางเจ้าดูประหลาดนัก”
“ฉันขอไปดูคนรักเธอได้หรือเปล่า”
หรานเอ๋อมองหน้าสหายพร้อมกับย่นคิ้วเข้าหากัน “เจ้าหมายถึงพี่หานจิ่งใช่หรือไม่”
“ใช่ ฉันหมายถึงคนรักเธอ” ตอบออกไปก่อนจะยิ้มบางๆ “สงสัยต่อไปต้องหัดพูดคำโบราณแล้ว ไม่งั้นคงกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาคนอื่นแน่”
“เจ้าไม่กลัวติดโรคหรือ” ถามกลับอย่างกังวล เพราะคนในจวนนี้พากันหลบเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้เรือนพักของหานจิ่ง
“เอ่อ เจ้าก็อยู่กับเขาทุกวันไม่ใช่หรือ ก็ยังไม่เห็นป่วยเลย เพราะฉะนั้นมันคงไม่ใช่โรคติดต่อหรอก”
นางพยายามเอ่ยช้าๆ ทีละคำ ให้เหมือนกับที่อีกฝ่ายมักพูดคุยด้วย ต่อไปจะได้ชินกับสำเนียงการพูด
“หากเจ้าไม่รังเกียจข้าจะพาไป” ว่าแล้วหรานเอ๋อก็ลุกขึ้นเดินนำสหายรุ่นน้องไปยังเรือนพักของคนรัก
ดวงตากลมสอดส่องบริเวณโดยรอบ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าประตูเรือนหลังหนึ่ง ทั้งคู่เดินเข้าไปด้านใน บนเตียงกว้างมีร่างสูงเจ้าของห้องนอนนิ่งอยู่ เพ่ยหลันมองผู้ป่วยที่ดูเหมือนนอนหลับพักผ่อนมากกว่า นางนั่งลงและจับชีพจรเขาเพื่อตรวจดู หรานเอ๋อมองอย่างสงสัย
“เพ่ยหลันเจ้าเรียนรู้การตรวจชีพจรด้วยหรือ”
“อืม คนรักเจ้าดูเหมือนจะไม่ได้ป่วย อาจจะถูกพิษ”
“จับแค่นี้เจ้าก็รู้หรือ” ถามทันทีเพราะมีหมอมาตรวจมากมายก็ยังไม่มีผู้ใดเอ่ยเช่นนี้
“เจ้าพอจะจัดหาอุปกรณ์ฝังเข็มให้ได้หรือไม่”
“ได้ๆ ยามนี้ขอแค่มีหนทาง ข้าจะรีบจัดการให้ เจ้ารอสักครู่นะ” กล่าวจบก็รีบลุกออกไปทันที
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป [=30นาที] หรานเอ๋อกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่มีหยางลู่เดินตามมาด้วย เพ่ยหลันเหลียวมองเล็กน้อย นางรับห่อผ้าซึ่งมีเข็มเรียงรายอยู่มากมาย
“เจ้าแน่ใจหรือว่าสามารถรักษาหานจิ่งได้”
“ข้าไม่รู้ ต้องดูก่อนว่าที่ตรวจเจอมันใช่หรือไม่” ตอบกลับผู้มาใหม่โดยไม่มองหน้าแม้แต่น้อย