เช้าวันหยุดกับอากาศที่สดใส ฉันตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ มองคนข้างๆ ที่ยังหลับสนิท ใบหน้าคมที่ไร้แว่นหนาปกปิดความหล่อเหลาเอาไว้ น่ารักชะมัด... เมื่อคืนหลังจากที่ฉันง้อจนสำเร็จ ฌอนก็ขอไปทำงานต่อ กว่าจะมานอนก็เกือบสว่าง
บริษัทคุณตาของเขาค่อนข้างมีชื่อเสียง แม้จะไม่ติดอันดับระดับประเทศ แต่ก็เป็นบริษัทใหญ่ ช่วงนี้มีปัญหากับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ เพราะคุณตาท่านที่เป็นประธานบริษัทไม่ค่อยสบาย ฌอนเป็นแค่รองประธาน จึงต้องรับภาระหนัก แม้จะมีผู้ช่วยของคุณตาคอยดูแลก็ตาม แต่มันก็เหมือนกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ไม่เข้าใครออกใคร พอถึงเวลาตกต่ำ ต่างคนต่างก็พยายามกอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเอง
ฉันก้มลงหอมแก้มขาวเนียนของเขาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นทำอาหารเช้าง่ายๆ ที่ทำได้รอไว้ แล้วก็เก็บเสื้อผ้าที่ใช้แล้วไปซัก เก็บกวาดห้องนิดหน่อย เพราะห้องของเขาค่อนข้างสะอาดและเป็นระเบียบอยู่แล้ว
หลังจากที่ทำหน้าที่ภรรยาที่ดี(ในอนาคต)เสร็จ ฉันก็กลับมายังห้องของตัวเอง เพื่ออาบน้ำแต่งตัว วันนี้คงไม่ได้ไปไหน ใส่ชุดสบายๆ เป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อเชิ้ตตัวโปร่ง
อ๊อด อ๊อด ~
เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นแต่เช้า ฉันเปิดประตูออกไปเห็นคุณแม่คุณพ่อและพี่เมฆยืนเรียงกันอยู่หน้าห้องครบทั้งครอบครัว
“สวัสดีค่ะแม่ สวัสดีค่ะพ่อ สวัสดีค่ะพี่เมฆ” ฉันยกมือไหว้ทั้งสามคน แม่เดินเข้ามากอดพร้อมกับหอมแก้ม พี่เมฆก็เข้ามาหอมให้เหมือนกัน ส่วนพ่อได้กอดเฉยๆ เพราะไม่ได้เจอกันนาน ฉันพาทั้งสามคนเข้ามาในห้อง แม่กับพ่อเดินสำรวจคอนโดอยู่ ฉันรีบเข้าไปกระซิบกับพี่เมฆ
“ทำไมไม่บอกอิงก่อนว่าพ่อแม่จะมา?”
“ก็คุณแม่นะสิ คะยั้นคะยอให้พี่พามาตั้งแต่พี่ยังไม่ตื่นด้วยซ้ำ” พี่เมฆตอบพร้อมทำหน้ารับผิดเต็มประดา ฉันบอกไม่เป็นไร แต่วันหลังต้องโทรมาบอก เท่านั้นล่ะ พี่เมฆก็ยิ้มแช่งและเข้ามากอดอีกครั้ง พี่ชายคนนี้หวงน้องยิ่งกว่าพ่ออีก
“ห้องสวยดี ความปลอดภัยก็โอเค ทั้งชั้นมีแค่สองห้อง แล้วห้องตรงข้ามนี้ห้องใครละ รู้หรือเปล่า?” หลังจากเดินสำรวจจนพอใจ พ่อกับแม่ก็นั่งที่โซฟาแล้วถามฉันทันที
“ห้องเพื่อนที่เรียนด้วยกันนะคะแม่ ไว้ใจได้ ใช่ไหมพี่เมฆ?” ฉันหันไปถามพี่ชาย
“ใช่ครับๆ” พี่เมฆที่กำลังจะยกน้ำขึ้นดื่มรีบตอบแบบตื่นตัว
“แม่ค่อยวางใจหน่อย” แม่บอกอย่างโล่งอก
“ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ?” พ่อถามเสียงเข้ม
“ผู้ชายค่ะ แต่พ่อไม่ต้องห่วงนะคะ เขาเป็นเพื่อนยัยดาวอีกที พี่เมฆก็เคยเจอใช่ไหมพี่เมฆ?”
“จ๊ะๆ ใช่จ้ะ” พี่เมฆตอบรับพร้อมกับยิ้มแหยๆ ให้
“ไว้ใจได้ก็ดี พ่อกับแม่จะได้ไม่เป็นห่วง” ฉันเดินไปนั่งข้างๆ พ่อแล้วซบแขนท่านอย่างอ้อนๆ
“ยัยอิง อีกสองวันทำตัวให้ว่างนะแม่จะพาไปงานเลี้ยง”
“โธ่ แม่ค่ะ แม่ก็รู้ว่าอิงไม่ชอบออกงานสังคม แม่ไปกับพ่อกับพี่เมฆอย่างทุกทีก็ได้นิค่ะ” ฉันบ่นไปด้วยแบบปลงๆ
“ไม่ได้ งานนี้เป็นงานของพี่เทม เขาจะฉลองที่ร่วมหุ้นกับบริษัทคุณฌาน เขาทำโปรเจ็กต์ใหญ่ร่วมกัน”
“แล้วมันเกี่ยวกับอิงตรงไหน?” ฉันถามด้วยท่าทีงงๆ
“เพราะพ่อของแกกับตาเมฆต้องไปดูสินค้าที่ฮ่องกงสองวันนะสิ จะให้แม่ไปคนเดียวหรือไง?” แม่ทำหน้างอนๆ
“ไปเป็นเพื่อนแม่แกเถอะ พ่อกับเจ้าเมฆติดงานไม่ได้ให้ไปตลอดเสียเมื่อไหร่” คุณพ่อเสริม ฉันเลยต้องยอมตอบตกลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม่ยิ้มน้องยิ้มใหญ่แลดูมีแผนการอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องพี่เทม หวังว่าแม่ของฉันคงจะไม่ทำอะไรแปลกๆ หรอกนะ
หลังจากนั้นเราก็ออกไปทานข้าวข้างนอก ฉันโดนถามเรื่องต่างๆ เพราะตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโดไม่ได้กลับบ้าน พ่อกับแม่เป็นห่วงเลยต้องมาดูให้เห็นกับตาว่าชีวิตความเป็นอยู่เป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่าอะไรประมาณนั้น ตามประสาหัวอกคนเป็นพ่อแม่ ช่วงสายพี่เมฆมีงานต้องทำ เลยจำเป็นต้องกลับ พ่อกับแม่ก็กลับไปด้วย ฉันก็กลับคอนโดแล้วตรงดิ่งไปยังห้องฌอนทันที
เปิดประตูเข้าไป คิดว่าคนตัวสูงจะนอนอยู่ แต่เขากลับแต่งตัวเต็มยศ เตรียมกระเป๋าจะออกจากห้องแล้ว
“คุณอิง ผมโทรหาทำไมไม่รับละครับ?” เขาถามขณะที่กำลังเก็บกระเป๋าเอกสาร
“ฉันออกไปทานข้าวกับพี่บ้านมา ไม่ได้เอามือถือไปด้วย แล้วนายจะไปไหน?”
“คือผมต้องไปคุยกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่จีนนะครับ อีกสองวันจะกลับมาช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลา ไว้เดี๋ยวผมจะกลับมาชดเชยให้นะครับ” เขาเดินเข้ามากอดฉันแล้วโยกไปมาเหมือนปลอบเด็ก
“ไม่เป็นไรหรอก ทำงานก็อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานข้าวให้ครบสามมื้อด้วย” ฉันบอก พร้อมกับจูบแก้มเขาเบาๆ เป็นกำลังใจให้ฌอนยกมือขึ้นมาดูเวลาบอกว่าตกเครื่องแล้ว จึงรีบออกจากห้องไป ฉันเข้ามาในครัวเห็นอาหารที่ทำไว้ถูกกินจนเกลี้ยง ก็แอบดีใจนิดๆ เก็บจานมาล้างให้สะอาดก่อนจะออกจากห้องไปยังห้องตัวเอง
ฉันอยู่ที่ห้องไม่นาน ยัยดาวก็โทรเข้ามานัดให้ไปหาที่คอนโดนภัทร ฉันเลยรีบบึ่งรถไป วันนี้เป็นวันหยุด ไม่มีอะไรทำ พ่อหนุ่มแว่นก็ไม่อยู่ ไม่รู้จะขึ้นเครื่องหรือยัง มีคนช่วยหรือเปล่าจะมองสาวที่ไหนไหม พอเขาไม่อยู่ฉันก็เลยว้าวุ่นนิดหน่อย
@คอนโดนภัทร
“ยัยอิง~ เป็นไรจ๊ะ ทำหน้าหมาหงอยเชียว” เสียงยัยดาวทักขึ้น ขณะที่ฉันนั่งเหม่ออยู่บนโซฟาในห้องนภัทร
“เปล๊าาา~ เปล่าเลยค่า” ฉันรีบตอบ
“เมื่อคืนคงมีอะไรหนักๆ ล่ะสิยะ...ชะนีหน้าแดงเชียว” อิเกย์แซะตามสไตล์ พร้อมยักคิ้วหื่น
“ได้ผลล่ะสิ~ (≧◡≦)” ยัยเจ้าขาก็เอากับเขาด้วย
“ยะ…ได้ผลมากกกก” ฉันประชดเบาๆ แต่นภัทรกับเจ้าขากลับหัวเราะคิกคักกันอย่างมีความสุข
“ได้ผลแล้วมานั่งหน้าเหมือนลูกหมาหลงทางทำไมอีกยะ” นภัทรถามขำๆ
“ก็ฌอนของฉันนะสิ เขาไปทำงานที่จีนตั้งสองวัน! ฉันก็แค่...ห่วงเค้านิดนึง คนมีแฟนจะห่วงแฟนไม่ได้เหรอ?”
“อุ๊ยต๊ายยย! 'แฟน' เต็มปากเต็มคำมากแม่! จะเรียกผัวก็ได้นะ ไม่มีใครว่าอะไร!” นภัทรหันมาทำตาโต ฉันเลยจิกกลับไปเบาๆ แต่เจ้าตัวไม่สะทกสะท้าน ยังนั่งเปิดนิตยสารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แล้วนี่แกไม่รู้เหรอ พ่อณอนของแก กับพี่เทมที่มาจีบแก เขาจับมือทำธุรกิจด้วยกันนะยะ” ยัยดาวหันมาพูดขณะเลื่อนดูรองเท้าออนไลน์อย่างอารมณ์ดี
“พี่เทมเหรอ... อ๋อ ใช่! คุณแม่บอกอยู่ ว่าฉันต้องไปงานนั้นด้วย เบื่อจะตาย งานเลี้ยงอะไรไม่รู้ คนก็เยอะ เพลงก็ไม่มัน เต้นก็ไม่ได้อีก” ฉันบอกอย่างเซ็งๆ เพื่อนๆ ของฉันรู้ดีว่าฉันไม่ชอบงานเลี้ยงแต่ไหนแต่ไร เลี่ยงได้ก็พยายามเลี่ยงมาตลอด
“แกไปงานนี้ด้วยเหรอ? บังเอิญอะ ฉันก็ต้องไป” ยัยดาวพูดพลางจิ้มรองเท้าส้นสูงใส่ตะกร้า
“ฉันก็ไป~” เจ้าขายกมือแบบนักเรียนตอบคำถาม
“ฉันด้วยสิยะ ไม่ให้ฉันไป ฉันก็ตามไปเองแหละ!” นภัทรประกาศลั่น
“ว้าว ดีจัง! อย่างน้อยฉันก็ไม่เหงาแล้ว พวกแกไปด้วยฉันก็หายเบื่อหน่อย ไม่งั้นฉันคงนั่งเหี่ยวจนกลายเป็นไม้เสียบผีแน่ๆ o(≧▽≦)o”
ฉันหันไปหายัยดาว ที่ตอนนี้นั่งช้อปปิ้งเหมือนมีร้านค้าอยู่ในมือ
“ยัยดาว~”
“หืม ว่าไงแม่คนอินเลิฟ?”
“บริษัทพ่อฌอนใหญ่มากเลยเหรอ?”
“ใหญ่กว่าบริษัทพ่อแกสักสองสามเท่าละมั้ง ถามทำไม” ประกายดาวถามอย่างสงสัย
“ก็สงสัยว่า ทำไมฌอนไม่ไปทำที่บริษัทพ่อเค้า ทำไมต้องมาทำที่บริษัทคุณตาที่กำลังจะแย่ด้วย?”
“โอ้ยยยแก อย่าไปถามเรื่องนี้ต่อหน้าเขาเชียวนะ! เป็นดราม่าที่แบบ...น้ำเน่ากว่าละครช่องแปดอีก!” ยัยดาวเบิกตาโพล่งทำหน้าตกใจ
“ทำไมอ่ะ?”
ดาวลุกขึ้นนั่งตัวตรงเหมือนจะเล่าเรื่องลึกลับระดับชาติ
“ฟังดีๆ นะ เรื่องมันยาวแต่ฉันจะสรุปให้แบบฉบับละครสั้น…คือบริษัทเดิมที่บ้านฌอนเคยดูแลน่ะ ตอนแรกคุณตาเขายกให้คุณณานพ่อของฌอน กับอาลินแม่ของเขาที่เป็นลูกสาวคนเดียวของท่าน พออาลินเสีย ท่านก็ไม่สนใจบริษัทนั้นอีกเลย ยกให้พ่อของฌอนดูแลไปคนเดียว แล้วตัวเองไปตั้งบริษัทใหม่ แล้วก็ให้ฌอนเป็นคนดูแล”
“ทำไมล่ะ?” ฉันถามเบาๆ
ดาวถอนหายใจ “เพราะรู้สึกผิดไง... คุณตาเขารักลูกสาวมาก แต่พอรู้ความจริงทั้งหมดว่าชีวิตของอาลินมันพังเพราะการแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรัก... ท่านก็เจ็บเหมือนกัน”
“ความจริงอะไร?” ฉันถามอย่างระแวง เริ่มรู้สึกหน่วงๆ ในอก
“พ่อของฌอนแต่งงานกับแม่เขาเพราะธุรกิจ... แต่คนที่เขารักจริงๆ คือคุณพริม เพื่อนสนิทของอาลิน”
“ห๊ะ...?” ฉันอุทานออกมาแบบไม่รู้ตัว
“ใช่... แล้วอาพริมก็เป็นแค่ลูกคนสวนด้วย” ดาวพูดเสียงเบาลง “อาลินรู้ทีหลังก็ช็อก ตรอมใจไปเลย แกลองคิดดูดิ อยู่กับผู้ชายคนหนึ่งมาตลอดชีวิต แล้วมารู้ว่าสุดท้ายเขาไม่เคยรักเราเลย แต่รักเพื่อนสนิทของเรามาตลอด... ใครจะทนไหว”
ฉันเงียบไปทันที ใจมันจุกขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ
“ฌอนรู้เรื่องทั้งหมดตอนแม่เขาเสีย... แล้วก็ออกจากบ้าน ไม่กลับไปยุ่งกับครอบครัวอีกเลย ตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้ แล้วแกก็รู้นะว่าฌอนเป็นคนแบบไหน เขาไม่พูด ไม่ระบาย ไม่แสดงอะไรให้ใครเห็นเลย”
ฉันกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาเฉย
“แกห้ามพูดเรื่องนี้กับเขาเด็ดขาดนะ พ่อฉันยังสั่งเลยว่าอย่าให้หลุดปาก เรื่องมันเงียบมานานแล้ว อย่าให้มันย้อนกลับไปทำร้ายเขาอีก”
ฉันพยักหน้าช้าๆ
…แล้วก็เงียบ
ในหัวมีแต่ภาพฌอนกับรอยยิ้มของเขาเวลาที่แกล้งฉัน
ใครจะคิดว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น มันจะมีบาดแผลที่ลึกขนาดนี้
โธ่ฌอนของอิง (╥﹏╥)
@คอนโดอิงฟ้า
หลังจากไปสุมหัวอยู่ที่คอนโดนภัทรจนมืดค่ำ เราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ฉันขับรถกลับถึงคอนโดตัวเอง แต่แทนที่จะเข้าห้อง กลับเดินไปหน้าห้องตรงข้ามโดยอัตโนมัติ... ห้องของฌอน
ฉันกดรหัสที่เขาให้ไว้ก่อนเดินเข้าไปอย่างหน้าด้านๆ ทำเหมือนเป็นห้องตัวเองซะอย่างนั้น ทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มๆ อย่างหมดแรง ก่อนจะลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ
แน่นอนว่าฉันไม่ได้หยิบชุดนอนตัวเองมาหรอก… เลยคว้าเสื้อเชิ้ตของฌอนมาใส่แทน
กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มประจำตัวเขายังอ่อนๆ ติดอยู่ที่เนื้อผ้า มันชวนให้ใจสั่นจนน่าโมโห
โรคจิตหรือเปล่าเราเนี่ย... ฉันคิดในใจขำๆ แล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ของเขาอีกครั้ง มือถือในมือถูกกดเล่นไปมาใจลอย คิดถึงเขา...
อยากโทรหา แต่ก็กลัวจะรบกวนเวลาทำงาน ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่จีนกี่โมงแล้วด้วยซ้ำ
แล้วอยู่ๆ มือถือก็สั่นขึ้นมา มีสายเรียกเข้า
คนดีของอิง ♡
ฉันรีบกดรับแทบไม่ทัน “ฮะ...ฮัลโหล?”
“นอนหรือยังครับ” เสียงทุ้มอุ่นๆ จากปลายสายถามขึ้นมา หัวใจฉันเต้นโครมครามเหมือนคนบ้า
“ยังเลย…” เสียงฉันสั่นเครือ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อยู่ๆ น้ำตามันถึงไหลออกมาเอง
“เป็นอะไรครับ เสียงเหมือนจะร้องไห้?” เขาถาม น้ำเสียงฟังดูเหนื่อยแต่ห่วงใย
“เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร… แล้วที่นั่นล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีครับ… เปิดกล้องได้ไหม ผม…คิดถึง”
ตึก…ตึก…ตึก... ใจฉันเต้นรัวกับคำว่า “คิดถึง”
ฉันรีบเปิดกล้องในทันที มือบางปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ กล้องแสดงภาพของฌอนในชุดทำงาน ใส่แว่น หน้าตาเหนื่อยล้าแต่ยังฝืนยิ้มให้ฉัน แบ็กกราวด์ด้านหลังคงเป็นเตียงในโรงแรมที่เขาพัก เขาค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้ววางมือถือให้หันมาทางเขา
“ไม่ง่วงเหรอ?” ฉันถามยิ้มๆ
“ไม่ครับ” เขายิ้มบาง แล้วเอามือมาลูบหน้าจอเบาๆ ราวกับจะสัมผัสฉัน
เรานอนตะแคงคุยกันผ่านจอมือถือ ฉันยิ้มให้เขา ส่วนเขาก็ยังคงมองฉันนิ่งๆ ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
ไม่นานนัก ดวงตาคู่นั้นก็ปิดลงอย่างช้าๆ
ไหนบอกว่าไม่ง่วง… หลับซะแล้ว ^^