จิ่วเม่ยกับชุยเต๋อจึงได้มาใช้แซ่ของมารดาชุยเต๋อคือ แซ่ซู เรื่องนี้นับว่าสร้างแปลกใจให้ซูเจินที่นอนนิ่งฟังเรื่องราวต่างๆ อยู่ไม่น้อย
เพราะตัวนางก็แซ่ซู นามเจิน มาภพใหม่ยังได้ใช้ชื่อแซ่เดิมอีก ซูเจินนางผนวกเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว นางข้ามมิติมาอยู่ในยุคโบราณในร่างของเด็กทารกที่มีความทรงจำเดิมอยู่ครบถ้วน
หมู่บ้านที่นางอยู่ คือ หมู่บ้านตงหยาน เมืองเหอหนาน แคว้นต้าเยี่ยน เหมือนว่านางอยู่ที่ป่าของเหอหนาน เพียงย้อนกลับมาในพันปีที่แล้ว
จิ่วเม่ยมีชาวบ้านช่วยเก็บของของนางพากลับไปที่เรือนเดิมที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ข้าวของของนางมีไม่มาก เก็บไม่ถึงเค่อ (1เค่อ = 15 นาที) ก็เสร็จเรียบร้อย
เรือนของท่านปู่ท่านย่าของนางที่ท้ายหมู่บ้านมิได้ทรุดโทรมทั้งยังมีห้องมากถึงห้าห้อง นางไห่ซื่อจึงอยากได้มาครอบครองมากนัก นางอยากยกให้ชุยฟงบุตรชายของนาง ที่ปีหน้าก็จะต้องลูกสะใภ้เข้าเรือนแล้ว แต่ก็ต้องคืนให้จิ่วเม่ยไปเสียก่อน
“ขอบคุณทุกท่านมากเจ้าค่ะ บุญคุณที่ช่วยข้าในครั้งนี้ ข้าจะไม่ลืมเจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยคุกเข่าลงต่อหน้าชาวบ้าน เมื่อพวกเขามาส่งนางที่เรือน
“นับว่าสวรรค์เมตตาเจ้าแล้วอาเม่ยที่หลุดพ้นแม่สามีเช่นนั้นมาได้ เมื่ออาเต๋อกลับมาพวกเจ้าก็จะอยู่เป็นครอบครัวเสียที” ป้าหวงเอ่ยออกมาอย่างเห็นใจ
“ข้าก็หวังเช่นนั้นเจ้าค่ะ” นางปาดน้ำตา ร้องไห้ออกมาเงียบๆ
ซูเจินอดจะสงสารมารดาคนใหม่ของนางไม่ได้ ที่มีชีวิตรันทดเช่นนี้ นางทำได้แต่ยกมือน้อยกำไปที่อกเสื้อของนาง
“โอ้ เจินเออร์หิวแล้วหรือ” เป็นป้าหวงที่เอ่ยออกมา
มือเล็กๆ ที่กำสาบเสื้อของมารดาอยู่แทบจะคลายออกทันที นางอุตส่าห์เป็นห่วง แต่คิดไปว่านางหิวได้อย่างไร
จิ่วเม่ยส่งเงินให้ผู้นำหมู่บ้านแปดสิบตำลึงเงิน เพื่อให้เขาจัดการเรื่องซื้อที่ดินเพิ่มให้นาง เพราะนางคิดว่าหากเงินอยู่ที่ตัวนางมากเกินไปนางไห่ซื่อคงได้ตามมาหาเรื่องอีกแน่นอน
“อาเม่ย เจ้าอย่าได้กังวล ข้าเขียนในหนังสือตัดขาดอย่างชัดเจน หากเรือนตระกูลชุยยังมาสร้างความวุ่นวายกับพวกเจ้าสองแม่ลูกอีก พวกเขาจะต้องจ่ายเงินให้พวกเจ้าร้อยตำลึงเงิน ไม่เช่นนั้นก็ให้ทางการจัดการ”
“แต่ข้าก็ยังไม่วางใจเจ้าค่ะ” นางผลักเงินกลับไปให้ผู้นำหมู่บ้าน
เพราะตลอดสองปีที่ผ่านมานางรู้ถึงความร้ายกาจของนางไห่ซื่อไม่น้อย ยิ่งบ้านเดิมของนางที่อยู่อีกหมู่บ้าน ยิ่งน่ากลัวกว่านางมากนัก
สายตาของน้องชายนางที่มาขอเงินพี่สาวที่มองจิ่วเม่ยทุกครั้ง ทำให้นางอกจะขนหัวลุกไม่ได้
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ข้าจะจัดการเรื่องที่ดินให้พรุ่งนี้เลย ที่นาที่ติดกับผืนของเจ้าก็ยังว่างอยู่ นางยังเหลือก็ซื้อที่ติดเรือนไว้ เมื่ออาเต๋อกลับมาจะได้ปลูกผักไว้ขายได้” ผู้นำหมู่บ้านเอ่ยฝากให้เรือนที่อยู่ด้านข้างของจิ่วเม่ยช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลสองแม่ลูกก่อนที่จะกลับเรือนไป
นางจึงได้ปิดประตูเรือน แล้วพาซูเจินกลับเข้าไปในห้องเพื่อให้นางดื่มนม
ซูเจินแทบจะร้องออกมา เมื่อเห็นจิ่วเม่ยเปิดสาบเสื้อออก และกำลังยัดเต้านมเข้าไปในปากของนาง
“ไม่ร้อง ไม่ร้องเด็กดี แม่กำลังป้อนนมให้เจ้าอย่างไรเล่า”
ซูเจินหันหน้าน้อยๆ ของนางหนีอย่างสุดชีวิต แต่สุดท้ายเต้านมของมารดาก็เข้ามาอยู่ในปากของนาง จะดูดก็ไม่กล้า จะกัดก็ทำไม่ลง ได้แต่อมไว้ในปาก
จิ่วเม่ยเห็นบุตรสาวไม่ยอมดูดก็บีบแก้มน้อยๆ ของนางเพื่อเร่งให้นางดูดนมเสียที ท้องน้อยๆ ของซูเจินไม่อาจจะต้านทานความหิวได้นางจึงได้เริ่มดูดนมของจิ่วเม่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ
แต่เมื่อน้ำนมไหลเข้าปาก จึงได้รู้ว่ารสชาติก็ไม่ได้แย่เสียหน่อย จึงได้ดูดนมของจิ่วเม่ยอย่างเอาเป็นเอาตายจนเกือบจะสำลัก
“ค่อยๆ ดื่ม แม่ไม่ได้เร่งเจ้าเสียหน่อย” ปากน้อยๆ ดูดนมอย่างเอร็ดอร่อย ดวงตาก็สำรวจมารดาคนใหม่ไปด้วย
นางเป็นเพียงแม่นางน้อยวัยไม่ถึงยี่สิบหนาวก็มีลูกเสียแล้ว ดูแล้วคงเพียงจะสิบหกสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น
จิ่วเม่ยเห็นดวงตาของบุตรสาวจ้องมองนางตาไม่กะพริบก็อดจะก้มลงหอมแก้มนางไม่ได้ ยิ่งมาใช้ชีวิตกันสองคน ก็ยิ่งคิดถึงสามีที่ไม่มีข่าวคราวส่งมา ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นเช่นใดบ้าง
ตลอดเวลาที่ซูเต๋อ (เปลี่ยนมาใช้แซ่มารดาแล้ว) อยู่ในสนามรบเขาส่งเงินกลับมาให้พวกนางสองแม่ลูกไม่ขาด ไม่รู้ว่าที่ตัวได้มีติดไว้หรือไม่ แต่เงินสามตำลึงเงินก็ไม่เคยตกถึงมือสองแม่ลูกเลยสักครั้ง
เมื่อซูเจินกินอิ่มแล้วก็ไม่อาจต้านทานหนังตาที่กำลังจะปิดลงได้ นางจึงหลับไปในอ้อมกอดของจิ่วเม่ย พอเห็นบุตรสาวหลับแล้ว นางจึงลุกขึ้นไปเก็บของเข้าที่ และต้อมน้ำเพื่อเช็ดตัวให้ตนเองและบุตรสาว
ยังดีที่ชาวบ้านในหมู่บ้านมีน้ำใจกับนางไม่น้อย พวกเขาต่างนำข้าวสาร ผัก ของแห้งมาให้นางใช้ที่เรือนไปก่อน
จิ่วเม่ยจึงเข้าครัวไปจัดการหุงหาอาหาร เพราะมีเพียงปากท้องเดียวที่กิน นางจึงทำออกมาเยอะ ซูเจินนางก็เพียงได้แต่ดื่มนมเท่านั้น
มื้อนี้เป็นมื้อที่นางกินข้าวได้อิ่มท้องตั้งแต่แต่งให้ซูเต๋อมา นางก็แทบจะไม่ได้กินจนอิ่มสักมื้อ กินข้าวไปน้ำตาก็ไหลไป เพราะคิดถึงสามี แต่ไม่รู้จะส่งข่าวให้เขาเช่นไร
รุ่งเช้าวันใหม่ จิ่วเม่ยที่กำลังจัดการบุตรสาวตัวน้อยอยู่ ป้าหวงก็ร้องเรียกนางอยู่ที่หน้าเรือน
“อาเม่ย อาเม่ย”
“มาแล้วเจ้าค่ะ” นางรีบเดินไปเปิดประตูเรือน ก็เห็นป้าหวงยืนรอนางอยู่
“เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ”
“ข้ามาถามเจ้าว่าจะปลูกข้าวเลยหรือไม่” เพราะที่นาของจิ่วเม่ยที่เก็บเกี่ยวไปนานแล้ว ยังว่างเปล่าอยู่
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านกำลังเริ่มต้นการเพาะปลูกอีกครั้ง ป้าหวงเห็นว่าจิ่วเม่ยนางตัวคนเดียวจึงได้มาถามด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องนี้ข้าก็กำลังจะไปหาท่านอยู่พอดีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด ว่าแต่เจ้าเสร็จแล้วหรือยัง เจินเออร์เล่า” นางชะเง้อคอมองหาเด็กตัวน้อย
“ไปได้เลยเจ้าค่ะ ท่านป้ารอข้าประเดี๋ยว” จิ่วเม่ยเข้าไปอุ้มบุตรสาว ใช้ผ้าผูกมัดตัวนางไว้ที่ด้วยหน้า ก่อนจะเดินออกจากเรือนไปพร้อมป้าหวง