ตอนที่หลิวชิงและซีเยว่ นางพูดคุยกันระหว่างทางกลับเรือน เขามิได้กลับเรือนพักอย่างที่ทุกคนเข้าใจ เพียงหลบซ่อนตัวอยู่ที่พุ่มไม้แอบฟังเรื่องที่ทั้งสองเอ่ยพูดคุยกัน
ในตอนนั้นเขาจึงเชื่อได้อย่างสนิทใจ ว่าสิ่งที่คิดไว้เป็นเรื่องจริง นางได้ย้อนเวลากลับมาเช่นเดียวกับเขา ที่มาเรือนของนางในค่ำคืนนี้ ก็ด้วยอยากฟังจากปากของนางว่าเป็นเช่นที่เขาคิดหรือไม่
“ท่านพูดเรื่องอันใด ข้าไม่เข้าใจ” ซีเยว่ยังไม่ยอมรับว่านางได้ย้อนเวลากลับมา แม้จะสงสัยว่าเขาเอ่ยเรื่องนี้ออกมาได้อย่างไร
“หึหึ เพราะข้าก็ย้อนกลับมาเช่นกัน”
“ห๊ะ!!!” ซีเยว่ร้องเสียงดังออกมาอย่างลืมตัว
“คุณหนูเจ้าคะ มีอันใดหรือไม่เจ้าคะ” เสียงสาวใช้ที่อยู่หน้าห้องเอ่ยถามออกมา
“มะ ไม่มี” นางร้องตอบกลับไป พร้อมทั้งปิดปากตัวเองแน่น
เสียงด้านนอกเงียบหายไปแล้ว กู้หยางจึงได้ลุกเดินเข้ามาหาซีเยว่ที่ยังตกตะลึงนิ่งงันอยู่ที่เตียงของนาง
“เจ้าไม่บอกข้าก็ไม่เป็นอันใด แต่ทางที่ดีที่สุด เจ้าควรจะแต่งให้ข้าเพื่อจะได้ไม่มีจุดจบเช่นในภพที่แล้ว” เขากระซิบบอกข้างหูของนาง
“ข้าไม่แต่ง ท่านไม่ต้องยุ่งเรื่องของข้า” นางดันตัวของเขาให้ออกห่าง
“อืม...เช่นนั้นรึ หากข้านำเรื่องที่เจ้าย้อนกลับมาไปบอกนางอู๋ซื่อเล่า เจ้าว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ตัวเขาคิดว่าเว่ยหมิงต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ด้วยท่าทีที่เขากังวลตอนที่กู้หยางพูดเรื่องจะรับนางเข้าจวน
“ท่านคิดว่านางจะเชื่อท่านเช่นนั้นรึ” ซีเยว่ยิ้มเยาะออกมา เรื่องนี้หากพูดออกไปจะมีผู้ใดเชื่อกันเล่า
“ถึงนางไม่เชื่อข้า แต่นางต้องหาทางนำตัวเจ้าไปเผาทั้งเป็นได้แน่นอน”
“เพ้ย!!! ท่านบ้าไปแล้ว ตัวท่านก็ย้อนกลับมาเช่นกัน หากข้าพูดออกไปท่านจะไม่โดนด้วยรึ” นางถลึงตามองเขา
“ผู้ใดจะเชื่อเจ้าเล่า”
“อ้อ หากข้าพูดคนอื่นไม่เชื่อ แต่ถ้าเป็นท่านที่พูดทุกคนจะเชื่อเช่นนั้นรึ” นางย้อนถามทันที
“ใช่” เขายกยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ
ในเมื่อชีวิตก่อน เขาผ่านเล่ห์กลของจิ้งจอกเฒ่าในราชสำนักมาไม่น้อย ย่อมมีคำพูดหว่านล้อมให้คนอื่นเชื่อเขาได้มากกว่าคำพูดของซีเยว่
“เหตุใดต้องเป็นข้า บุตรีของท่านพ่อข้าที่ออกเรือนได้ก็มีไม่น้อย ท่านก็พูดเอง ว่าข้ามีคนที่ท่านพ่ออยากให้หมั้นหมายด้วยแล้ว แล้วยังจะบังคับข้าเพื่ออันใด”
“ข้ากับเจ้ามีศัตรูคนเดียวกันอย่างไรเล่า” เขาจ้องมองซีเยว่จนนางอดที่จะขนลุกไม่ได้
“หมายความเช่นใด” นางจะไปรู้เรื่องของเขาหลังจากที่นางตายได้อย่างไร
ในนิยายก็บรรยายเรื่องของเขาไว้น้อยเหลือเกิน จนแทบไม่มีสิ่งใดที่นางรู้มาก่อน
“เจ้ารู้เพียงเท่านี้ก็พอ เจ้ากับข้าแต่งกันเพียงแค่ในนามเท่านั้น ต่อไปหากเรื่องที่ข้าจะทำจัดการได้สำเร็จ ข้าจะหย่าให้เจ้า เพื่อให้เจ้าได้มีชีวิตของตนเอง”
“ท่านพูดจริงรึ” ซีเยว่นางไม่อยากจะเชื่อ
“ข้าจะร่างสัญญาให้เจ้า หากเจ้าไม่เชื่อในคำพูดของข้า”
“ข้าขอคิดเสียก่อน”
“ได้ พรุ่งนี้เจ้าต้องให้คำตอบข้า ข้าจะได้จัดการเรื่องอื่นต่อได้”
“เหตุใดถึงได้เร็วเช่นนี้” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ เขาให้เวลานางตัดสินใจเพียงแค่วันเดียว
“ข้าไม่มีเวลามากนัก ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกไม่น้อย”
“เอาเถิด ท่านกลับไปได้แล้ว” นางโบกมือไล่ให้เขาออกจากห้องของนางไป
“แขนเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง” เขามองมาที่แขนของนาง
“เล็กน้อย ท่านอย่าได้ใส่ใจ” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“อืม...เช่นนั้นเจ้าก็พักเถิด” เขากลับออกไปทางหน้าต่างเช่นตอนที่มาอย่างเงียบๆ
ซีเยว่ รีบไปปชลงกลอนที่หน้าต่างห้องของนางแทบจะในทันที ที่เขาเร้นกายหายออกไป
“บ้าไปแล้ว” นางพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนที่เตียง
ซีเยว่ครุ่นคิดอยู่นาน นางไม่รู้ตัวว่าตนเองหลับไปตั้งแต่เมื่อใด เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเพราะถูกแม่นมชุยเข้ามาปลุกเรียกแล้ว
“คุณหนูจะไปรับมื้อเช้าที่เรือนหลักหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ แม่นมให้สาวใช้ยกมาให้ข้าที่เรือนเถิด” นางยังไม่อยากจะพบเจอผู้ใด
ยิ่งถ้าเจอกู้หยางแล้วด้วยก็ไม่รู้จะให้คำตอบกับเรื่องที่เขาถามเมื่อคืนเช่นไร
“ท่านพ่อ ออกไปทำงานแล้วหรือยัง” นางเอ่ยถามแม่นมชุยเมื่อรับมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว
“ไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีเรื่องจะพูดกับนายท่านหรือเจ้าคะ”
“อืม ไว้ท่านพ่อกลับมาที่จวน แม่นมชุยสั่งให้บ่าวมาบอกข้าสักคำเถิด” นางคิดแล้วว่าควรนำเรื่องนี้ไปปรึกษาท่านพ่อเสียดีกว่า
กู้หยางเขาออกจากจวนตระกูลเว่ยไปตั้งแต่เช้า เพื่อไปจัดการเรื่องซื้อจวนที่เมืองหลวง ด้วยเขารู้ดีแก่ใจว่าซีเยว่นางจะต้องตอบรับข้อเสนอเขาอย่างแน่นอน
และยังมีเรื่องอีกไม่น้อยที่เขาต้องจัดการ เมื่อได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง นับว่าสวรรค์ให้โอกาสที่สองแก่เขา เขาจะไม่มีทางก้าวพลาดเช่นครั้งก่อนอีกแล้ว
อู๋ซื่อและหลิวชิง สองแม่ลูกต่างก็ปิดเรือนเพื่อวางแผนการอย่างเงียบๆ นางไม่มีทางยอมให้บุตรสาวแต่งเข้าตระกูลกู้อย่างแน่นอน
ผู้ใดในเมืองหลวง ต่างก็อิจฉาในวาสนาของหลิวชิง ตั้งแต่รู้เรื่องที่นางถูกคุณชายมู่เอ่ยทาบทามเรื่องหมั้นหมาย อู๋ซื่อจะยอมให้วาสนาของบุตรสาวนางเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
“ท่านแม่ จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” หลิวชิงเอ่ยถามขึ้นมา อย่างอดทนไว้ไม่ไหว เมื่อเห็นมารดานางเอาแต่นั่งนิ่งเงียบ
“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ เหลือเวลาอีกสองวัน คุณชายกู้ถึงจะขอคำตอบจากท่านพ่อของเจ้า”
“แต่ว่านี่ก็ผ่านมาหนึ่งวันแล้ว ท่านแม่จะให้ลูกทนรออีกได้อย่างไร งานดูตัวของลูกก็ถูกท่านพ่อเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด ลูกร้อนใจเสียแทบแย่” เมื่อวานนางได้รับจดหมายสอบถามมาจากมู่เสวี่ยถึงเรื่องที่เลื่อนงานดูตัวออกไป
นางไม่รู้จะให้คำตอบเขาเช่นไร จึงได้ให้บ่าวไปแจ้งว่านางล้มป่วยแทน
“เจ้าอยู่แต่ภายในเรือนอย่าได้ออกมา เรื่องที่เหลือแม่จะจัดการเอง” นางมีแผนอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น
“เจ้าค่ะ” หลิวชิงรับคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่หาย ก่อนที่นางจะขอตัวกลับไปอยู่ที่เรือนตามคำสั่งของผู้เป็นมารดา
ซีเยว่พักอยู่ในเรือนของนาง จนเมื่อสาวใช้มาแจ้งเรื่องที่บิดานางกลับมาจากที่ทำงาน นางจึงได้ออกไปขอพบเขาที่ห้องตำรา
“อาเยว่ เจ้ามาหาพ่อมีเรื่องใดหรือไม่”
ซีเยว่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเว่ยหมิง
“ท่านพ่อ ข้าจะแต่งให้คุณชายกู้เองเจ้าค่ะ”
“เพราะอันใด” เว่ยหมิงมองหน้าบุตรสาวของเขาอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่เมื่อวานดูเหมือนว่านางจะยืนยันอย่างเด็ดขาดที่จะไม่แต่งให้เขา
นางเอ่ยเล่าข้อเสนอที่กู้หยางยื่นให้นาง แต่นางเปลี่ยนเรื่องที่เขาพูด เป็นบอกว่า หากเขาทำไม่ดีกับนาง หรือเขารับอนุเข้าจวน นางมีสิทธิ์ที่จะหย่าขาดจากเขาได้ โดยไม่มีคำครหาติดตัว
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าคุณชายกู้จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้” เว่ยหมิงเอ่ยเสียงแข็งออกมา
“ท่านพ่อ ให้เขาทำหนังสือสัญญาไว้ได้เจ้าค่ะ ต่อไปหากเขาไม่ถนอมข้าอย่างที่ว่า ท่านก็ใช้เรื่องนี้มาต่อรองกับเขาได้”
เว่ยหมิงนิ่งคิดอยู่นาน กว่าที่เขาจะเอ่ยประโยคต่อมาได้
“แล้วเรื่องความลับของเจ้าเล่า เขาจะไม่รู้เลยรึ” ในเมื่อคนเป็นสามีภรรยากัน ซีเยว่นางจะปิดบังเขาไปได้นานเพียงใด
“ลูกจะไม่บอกเขา และจะระวังตัวอย่างดีเจ้าค่ะ”