ซีเยว่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะให้แม่นม ชุยออกไปรอที่ด้านข้าง เพื่อให้นางกับหลิวชิงเอ่ยพูดคุยกันได้อย่างสะดวก
“พี่หญิง ท่านมีสิ่งใดอยากพูดก็พูดเถิดเจ้าค่ะ”
“อาเยว่ ครั้งนี้เจ้าช่วยพี่มิได้รึ เจ้าก็รู้ว่าพี่พึงใจอยู่กับคุณชายมู่” นางช้อนสายตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตามองซีเยว่อย่างอ้อนวอน
“เห็นจะไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าก็ยังมิอยากจะแต่งออกในยามนี้” นางดึงมือกลับคืนมา
“อาเยว่ เจ้ามิเห็นใจพี่เลยรึ”
“พี่หญิงข้าเห็นใจท่าน แล้วท่านเห็นใจข้าหรือไม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเจียงซานเป็นเช่นใด ท่านกับข้าก็ล้วนแต่ไม่เคยไป จะรู้ได้อย่างไรว่าหนทางข้างหน้าจะลำบากหรือมีสุข” นางมองหลิวชิงอย่างเย็นชา
“จะ เจ้า” หลิวชิงเอ่ยตอบโต้ไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่ซีเยว่นางเอ่ยออกมาเป็นเรื่องจริง
“หากพี่หญิงไม่มีสิ่งใดที่ต้องการเอ่ยกับข้าแล้ว ข้าขอตัวเจ้าค่ะ” เพียงออกมาครู่เดียวนางก็เหนื่อยจนอยากจะกลับไปพักแล้ว
และดูเหมือนว่าพิษไข้ที่เพิ่งจะทุเลาไปก่อนหน้าจะกลับมาเป็นเช่นเดิม
หลิวชิงเม้มปากแน่น มองตามแผ่นหลังของซีเยว่ไปอย่างโกรธแค้น เมื่อก่อนไม่ว่าเรื่องอันใดน้องสาวคนรองของนาง มักจะยอมให้นางมาตลอด แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายเช่นนั้นแล้ว
“คุณหนู” สาวใช้เอ่ยเรียกหลิวชิงเมื่อเห็นว่านางมองตามซีเยว่ไปเนิ่นนาน
“ไปที่เรือนของท่านแม่” นางไม่มีทางยอมแต่งกับกู้หยางเป็นอันขาด ในเมื่อนางเอ่ยพูดดีๆ ด้วยแล้ว ซีเยว่นางไม่ยอมอ่อนข้อให้ ก็คงต้องให้มารดาเป็นผู้จัดการเอง
ซีเยว่เมื่อกลับมาถึงเรือน นางก็ดื่มยาที่แม่นมชุยให้สาวใช้ต้มไว้ให้เข้าไปจนหมด
“คุณหนู แขนของท่าน” แม่นมชุยมองรอยเล็บที่แขนของซีเยว่อย่างปวดใจ
“ทายาไม่กี่วันก็คงจะหาย ท่านอย่าได้ทำหน้าเช่นนี้” ซีเยว่อมยิ้มมองแม่นมชุยที่ดูเหมือนจะร่ำไห้ออกมา
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปหายามาทาให้นะเจ้าคะ” แม่นมชุยออกไปหายามาทาให้ซีเยว่ ก่อนจะประคองนางขึ้นเตียงเพื่อพักผ่อน
มาถึงตอนนี้นางยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดกู้หยางถึงเลือกที่จะแต่งกับนางก่อน แทนที่จะเป็นหลิวชิงเช่นในภพที่แล้ว
“ข้าจะต้องสนใจเพื่ออันใด” ซีเยว่พลิกตัวให้เข้าที่ ก่อนจะหลับตาลง
เสียงกุกกักดังขึ้นข้างหน้าต่างห้องของซีเยว่ นางที่ยังหลับไม่สนิท ลุกขึ้นนั่งมองไปด้วยความหวาดกลัว
“ผู้ใด” นางเอ่ยถามออกไป
“...” แต่ไม่มีผู้ใด ตอบกลับ นอกจากเสียงของแข็งกำลังงัดหน้าต่างห้องของนางอยู่
ซีเยว่เดินลงจากที่นอน นางคว้าเชิงเทียนที่อยู่บนโต๊ะมาถือไว้ ก่อนจะเดินไปใกล้หน้าต่าง เพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่านางได้ยินเสียงจริงๆ
พอหน้าต่างถูกเปิดออก ซีเยว่เห็นเพียงบุรุษที่อยู่ในชุดดำ ปิดหน้าตามิดชิด นางหันหลังเพื่อจะวิ่งไปที่ประตู ปากก็อ้ากว้างส่งเสียงเรียกสาวใช้ที่นอนอยู่หน้าห้องของนาง
“อุ๊บ...” แต่ก็ถูกมือหนาตะครุบปิดปากของนางไว้แน่น
“อย่าได้ร้องออกมาเด็ดขาด” เสียงเย็นที่เอ่ยกระซิบอยู่ข้างหูของนาง ทำให้ขนแขนของซีเยว่ตั้งชันทันที
นางเพิ่งจะพบเขาเพียงครั้งแรกย่อมรู้ได้ในทันที ว่าผู้ที่ลอบเข้ามาในห้องของนางต้องเป็นกู้หยางอย่างแน่นอน
“อื้อ...อู้..อี้...” นางจะเอ่ยถามว่าเขาเข้ามาในห้องของนางเพื่ออันใด แต่เสียงที่พูดออกมาก็เอ่ยไม่เป็นภาษา
“หากเจ้าส่งเสียง รู้ใช่หรือไม่ว่าเจ้าจะต้องแต่งให้ข้าอย่างเลี่ยงไม่ได้” เขาเอ่ยข่มขู่นาง จนซีเยว่หุบปากทันที พร้อมทั้งถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ
เขาปล่อยปากของนางให้เป็นอิสระ ก่อนจะเดินถอยห่างออกไปอยู่ด้านข้างแทน
“ท่านเข้ามาเพื่ออันใด” นางส่งเสียงลอดไรฟันออกมา
กู้หยางปลดผ้าที่คลุมหน้าออก พร้อมเดินไปนั่งลงอย่างสบายใจที่โต๊ะข้างหน้าต่าง
“เหตุใด เจ้าถึงไม่ทำตามคำขอของคุณหนูใหญ่” เขาเอ่ยถามออกมา พร้อมทั้งมองมาที่นางอย่างจับผิด
“ท่านแอบฟังข้าพูดกับพี่หญิงรึ” นางมองเขาอย่างไม่เชื่อ
ในตอนนั้นนางไม่เห็นผู้อื่นนอกจาก นางและหลิวชิงยืนคุยกันอยู่ แม้จะบอกว่าเขาสอบถามจากสาวใช้กับแม่นมชุยก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ เพราะทั้งสองล้วนแต่ตามเจ้านายกลับเรือนในทันที
“เว่ยซีเยว่ เจ้าแตกต่างจากที่ข้ารู้มากนัก” เขาเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด
“ท่านกับข้าเพิ่งจะพบกัน จะมาบอกว่ารู้จักข้าดีก็เห็นจะไม่ใช่” นางมองเขาอย่างสงสัย
“เจ้าคิดเช่นนั้นรึ” เขาเอ่ยถามออกมา พร้อมทั้งลุกขึ้นเดินเข้ามาหานาง
“จะเดินเข้าใกล้ข้าเพื่ออันใด” นางถอยหนีด้วยความระวังตัว
“ซีเยว่ เจ้าปิดบังสิ่งใดไว้กันแน่”
“ท่านหมายความเช่นไร” นางเดินถอยไปจนชนเข้ากับเตียงจนล้มไปนั่งที่เตียงนอน
“เจ้าย้อนเวลากลับมาใช่หรือไม่” ซีเยว่เบิกตากว้างอย่างตกใจ เสียงที่ดังอื้ออึงอยู่ในหูของนางจับใจความได้เพียงคำว่า ย้อนเวลากลับมาเท่านั้น
เพียงแค่ท่าทางของนางที่แสดงออกมา เขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตัวนางถึงได้เปลี่ยนไปจากภพก่อนที่ดูเหมือนจะเชื่อฟังอู๋ซื่อและหลิวชิงได้มากเพียงนี้
เขาเดินถอยห่างออกจากตัวนาง เพื่อให้นางหายตื่นตระหนกจากเรื่องที่ได้ยิน แล้วไปนั่งรอนางอย่างใจเย็นที่โต๊ะเช่นเดิม
กู้หยางเองก็ย้อนเวลากลับมาเช่นกัน เขาไม่รู้สาเหตุที่ได้ย้อนกลับมา ภพที่แล้วหลังจากเกิดเรื่องในตระกูลเว่ย เขามิได้แต่งสตรีตระกูลเว่ยเข้าจวนอย่างที่ตั้งใจไว้
ด้วยเรื่องที่ซีเยว่นางจบชีวิตลงจากยาพิษ เขาอยู่ที่เมืองหลวงต่อเพื่อตามหาคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด ด้วยหวังว่าจะช่วยชดเชยความผิดที่นางไม่ได้ก่อไว้
พอหลักฐานที่หามาได้ทั้งหมดชี้ไปที่อู๋ซื่อ เขาจึงนำหลักฐานมามอบให้เว่ยหมิงจัดการ เว่ยหมิงก็มิได้ทำให้เขาผิดหวัง นางอู๋ซื่อถูกส่งไปอยู่อารามชีนอกเมือง เพื่อสำนึกบาปที่นางได้ก่อไว้
ดูเหมือนเรื่องทั้งหมดจะสิ้นสุดลง แต่มิได้เป็นเช่นนั้น เมื่อหลิวชิงนางแค้นใจแทนผู้เป็นมารดา จึงได้ขอร้องให้มู่เสวี่ยชายคนรักของนาง จัดการเขาระหว่างที่เดินทางกลับเมืองเจียงซาน
แต่เขาก็รอดจากความตายในครั้งนั้นมาได้ พอเขาสอบเข้าเป็นขุนนางในเมืองหลวงได้ การต่อสู้ในราชสำนักครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น
ตัวกู้หยางที่เป็นคนขององค์ชายใหญ่ ได้ต่อสู้กับมู่เสวี่ยที่เป็นคนขององค์ชายสาม สุดท้ายด้วยเล่ห์กลที่มู่เสวี่ยวางไว้ ทำให้เขาตกหลุมพรางจนถึงแก่ชีวิต
มู่เสวี่ยที่เชื่อในคำพูดของหลิวชิง เรื่องที่นางบอกว่าเขาและซีเยว่วางแผนกัน เพื่อให้หลิวชิงแต่งเข้าจวนตระกูลกู้ ก็ปักใจแค้นเขาอย่างไม่สนใจจะสืบหาเรื่องราวให้แน่ชัด
พอเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งจึงได้พบว่าตัวเองย้อนกลับมาก่อนหน้าที่จะรู้เรื่องสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลเว่ย
กู้หยางจึงได้เอ่ยถามบิดาเรื่องสัญญาหมั้นหมาย ก่อนจะเร่งออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เขาหวังว่าครั้งนี้จะสามารถเปลี่ยนชะตาของซีเยว่ ให้นางไม่ต้องถูกวางยาพิษเช่นชาติที่แล้วได้
แต่พอมาเห็นนางที่จวนตระกูลเว่ยในวันนี้ จึงได้รู้ว่านางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
ตอนที่เขาเปลี่ยนใจจากในตอนแรกที่จะแต่งซีเยว่เข้าจวนเป็นหลิวชิงแทน เพื่อจะดูท่าทีของนางอู๋ซื่อ อีกอย่างก็เพื่อให้เว่ยหมิงรู้ตัวเสียก่อนว่าฮูหยินของตนมิได้อ่อนหวานเช่นที่นางแสดงออกมา