งานประมูลเครื่องเพชรมูลค่าหลายล้านบาทดำเนินการตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ ติณณ์กับพราวมุกนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานตามประสาวัยรุ่นโดยไม่ได้สนใจคนรอบข้างหรือเครื่องเพชรราคาแพงที่ผู้คนแข่งกันประมูลบนเวทีเลยสักนิด
มาร์วินลอบมองพราวมุกที่นั่งหัวเราะยิ้มแย้มกับผู้ชายคนอื่นด้วยความหงุดหงิด ทีเวลาอยู่กับเขาเอาแต่ก้มหน้าก้มหน้าตัวเนื้อตัวสั่นเทาเป็นเจ้าเข้าตลอด แต่พออยู่กับผู้ชายคนอื่นดูมีความสุขเหลือเกิน ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะอดทนไปได้อีกนานแค่ไหน ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยต้องอดทนกับผู้หญิงมากขนาดนี้
“คุณกิตติ..ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีผมมีธุระต่อ” มาร์วินลุกยืนพรวดพราดขึ้นมาพลางเอ่ยกับชายแก่ ทำให้ทั้งกิตติ ติณณภพและพราวมุกต่างพากันมองมาร์วินด้วยความหงุดหงิด
“จะกลับแล้วเหรอมาร์วิน งานยังไม่จบเลยนะ” กิตติเอ่ยถาม
“ครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
“ลุก! กลับบ้านได้แล้ว” มาร์วินหันมาพูดกับพราวมุกด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“คะ..ค่ะ มุกกลับก่อนนะคะพี่ติณณ์..กลับก่อนนะคะคุณลุง..สวัสดีค่ะ” พราวมุกกุลีกุจอยืนขึ้นพลางยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม
“กลับกันดีๆ นะครับ ไว้เจอกันที่มหาลัยนะ สวัสดีครับพี่มาร์วิน” ติณณ์เอ่ยล่ำลาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
มาร์วินทำเป็นไม่สนใจและรีบเดินออกไปจากตรงนี้ทันที พราวมุกส่งยิ้มสดใสให้สองพ่อลูกก่อนจะเดินตามชายหนุ่มหน้านิ่งไปอย่างรวดเร็ว
มาร์วินเดินมาถึงรถคันหรูสีดำเงาก่อนหญิงสาว โจฮันที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆ รถเอ่ยถามเจ้านายด้วยความสงสัย
“จะกลับแล้วเหรอครับนาย”
“เออ จะกลับแล้ว” เสียงทุ้มทรงพลังตอบกลับอย่างหงุดหงิด
“คุณพราวมุกล่ะครับ” โจฮันถามต่อ
“กูไม่รู้! เอาบุหรี่มาดิ”
“นี่ครับนาย”
บอดี้การ์ดคนสนิทหยิบสิ่งที่เจ้านายต้องการออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทพร้อมกับยื่นซองบุหรี่และไฟแช็กให้มาร์วินอย่างช้าๆ
มาร์วินเอื้อมมือไปคว้าซองบุหรี่จากโจฮันอย่างรวดเร็ว เขาดึงบุหรี่ออกมาหนึ่งม้วนและกดไฟแช็กต่อกับบุหรี่ จากนั้นชายหนุ่มก็ยกบุหรี่ม้วนนั้นขึ้นมาคาบไว้ที่ปากหยักหนาทันที
พราวมุกเดินมาจนถึงรถคันสีดำสนิท ดวงตากลมโตมองมาร์วินที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ รถโดยมีโจฮันยืนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม เจ้าหล่อนจึงเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อนั่งรอพี่ชายบุญธรรมเธอให้สูบบุหรี่เสร็จเสียก่อน
ชายหนุ่มสูบบุหรี่ยังไม่ทันจะหมดม้วน เขาสูบไปได้แค่ครึ่งตัวก็โยนมันทิ้งลงไปที่พื้นพร้อมกับใช้เท้าเหยียบขยี้จนละเอียดและก้าวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
พราวมุกหันหน้าออกไปมองด้านนอกกระจกรถเหมือนอย่างที่เคยทำอยู่เป็นประจำ เธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจชายหนุ่ม จากนั้นโจฮันก็ตามขึ้นมาประจำตำแหน่งคนขับและค่อยๆ ขับรถคันหรูออกมาจากโรงแรมทันที
“หัดรู้จักป้องกันไว้หน่อยก็ดีนะ ท้องก่อนจะเรียนจบขึ้นมา ตระกูลของฉันคงได้ขายขี้หน้าเพราะเธอแน่ๆ”
มาร์วินพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น พราวมุกอึ้งไปเล็กน้อยแต่เธอก็เริ่มจะชินชากับคำพูดพวกนี้ของชายหนุ่มแล้วละ
“ไม่ต้องห่วงค่ะ มุกไม่ทำให้ตระกูลของพี่ต้องเสื่อมเสียแน่นอนค่ะ”
“เดี๋ยวนี้ปากเก่งจังเลยนะพราวมุก”
“แล้วทำไมพี่ต้องชอบพูดจาดูถูกมุกด้วยล่ะคะ มุกไปทำอะไรให้พี่หนักหนา นับวันๆ พี่ก็ยิ่งพูดจารุนแรงขึ้น มุกก็มีความรู้สึกเหมือนกันนะ อื้อออออ..”
เสียงหวานถูกกลืนหายไปทันทีเมื่อหญิงสาวเอ่ยจบประโยค มาร์วินคว้าต้นคอหญิงสาวมาประกบจูบลงบนริมฝีเรียวเล็กอย่างรวดเร็ว
โจฮันมองเห็นทุกอย่างผ่านกระจกมองหลัง เขาชะงักไปชั่วครู่กับการกระทำที่อุกอาจของเจ้านายแต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและขับรถต่อไปเรื่อยๆ
“อื้ออออ”
พราวมุกพยายามเบี่ยงหน้าหนีแต่ชายหนุ่มก็จับล็อกใบหน้าหวานเอาไว้แน่นทำให้เธอไม่สามารถขยับไปไหนได้ ลิ้นสากร้อนส่งเข้าไปตวัดเลียเรียวลิ้นเล็กอย่างดุดัน
มาร์วินลืมทุกอย่างไปจนหมดสิ้น เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแล้วในตอนนี้ไม่สนเรื่องความผิดชอบชั่วดีอะไรแล้วด้วยชายหนุ่มพยายามห้ามตัวเองมาตลอดแต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้อยู่ดี
ปลายลิ้นสากเกี่ยวพันชอนไชไปทั่วภายในอุ้งปากเล็กพร้อมกับดูดดึงริมฝีปากล่างของหญิงสาว กลิ่นหอมจากกายสาวนั่นมันยิ่งทำให้ชายหนุ่มแทบคลั่ง
ชายหนุ่มดันร่างบางให้เอนกายไปกับเบาะหนังสีดำสนิทราคาแพง มือบางยกขึ้นมาดันอกแกร่งเอาไว้ไม่ให้แนบชิดเธอไปมากกว่านี้ ลิ้นสากร้อนยังคงไล่ต้อนเรียวลิ้นเล็กจนได้ยินดังจ๊วบๆ
พราวมุกเริ่มรู้สึกหูอื้อตาลายกับสัมผัสที่ชายหนุ่มนำพาเธอไป มาร์วินค่อยๆ ผละออกจากริมฝีปากนุ่มนิ่มอย่างอ้อยอิ่ง
“อย่าให้ฉันเห็นว่าเธอเข้าใกล้ผู้ชายหน้าไหนอีก ไม่งั้นเธอโดนหนักกว่านี้แน่” เสียงทุ้มทรงพลังสั่งหญิงสาวหนักแน่น
“เกลียดมุกขนาดนั้นเลยใช่ไหมคะ”
พราวมุกดันอกแกร่งออกจากไปให้ไกลๆ จากร่างกายเธอพร้อมกับใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำลายที่เลอะอยู่ที่ขอบปากของเธอ ดวงตากลมโตเริ่มมีน้ำใสๆ คลอเบ้าเล็กน้อยแต่เจ้าหล่อนก็พยายามกะพริบตาปริบๆ เพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาให้คนตรงหน้าได้เห็นมันง่ายๆ
“พอใจหรือยังคะ พอใจแล้วก็ปล่อยมุกได้แล้วค่ะ”
“ทีเวลาอยู่กับคนอื่นทำเป็นยิ้มหัวเราะมีความสุข เวลาอยู่กับฉันทีไรทำหน้าเหมือนจะตายให้ได้เลย” ชายหนุ่มพูดจาแดกดันใส่หญิงสาว
ดวงตากลมโตมองมาร์วินอย่างแข็งกร้าวแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป ใบหน้าหวานเบี่ยงหน้าหนีชายหนุ่มเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นน้ำตาของเธอแล้วจะหาว่าเธอสำออยใส่เขาอีก
มาร์วินยอมปล่อยพราวมุกให้เป็นอิสระ เขาเอนร่างกำยำพิงกับเบาะสีดำสนิทพลางครุ่นคิดอยู่ในใจ รอบนี้เขาถือว่าเขาแค่เตือนเธอเท่านั้น ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้อีกเขาอาจจะทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
รถคันหรูสีดำเงาขับเคลื่อนมาจนถึงคฤหาสน์ตระกูลวอล์กเกอร์ในเวลาต่อมา เจ้านายทั้งสองคนรวมไปถึงบอดี้การ์ดคนสนิทของมาร์วินต่างก็พากันเงียบมาตลอดทาง มาร์วินและพราวมุกได้ยินเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศภายในรถและเสียงลมหายใจของกันและกัน
เมื่อรถยนต์จอดสนิทลงที่ลานจอดรถของคฤหาสน์ พราวมุกรีบเปิดประตูลงจากรถไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดไม่จา เธอไม่อยากจะพูดคุยกับมาร์วินในเวลานี้
มาร์วินมองตามหลังพราวมุกที่กำลังเดินจ้ำอ้าวเข้าไปภายในบ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นายครับ พรุ่งนี้จะเข้าบริษัทไหมครับ” โจฮันเอ่ยถาม
“ไม่เข้า พรุ่งนี้วันอาทิตย์กูจะพักผ่อน” มาเฟียหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดวงตาคมกริบก็ยังคงจับจ้องไปที่ร่างบางอยู่ตลอดเวลา
“ครับนาย”
“ต่อไปนี้ตอนเช้าเข้ามาปลุกกูด้วย กูจะตื่นไปกินข้าวเช้าทุกวัน”
“ครับ”