วันรุ่งขึ้น
ณ คฤหาสน์ของตระกูลวอล์กเกอร์
มาร์คอส ดารินทร์ มาร์วิน และพราวมุกนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารใหญ่เหมือนอย่างเช่นทุกเช้าที่พวกเขาจะต้องกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาโดยมีมาร์คอสคนที่ใหญ่สุดในบ้านนั่งอยู่ที่เก้าอี้หัวโต๊ะอาหาร และเนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์พราวมุกจึงไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย
“มุก..เมื่อวานไปแคสงานถ่ายแบบมาเป็นยังไงบ้างล่ะลูก” ดารินทร์เอ่ยถามลูกสาวเสียงนุ่มนวล
“ราบรื่นดีค่ะคุณแม่ แต่ต้องรอประกาศผลอีกหนึ่งอาทิตย์ค่ะ” พราวมุกตอบกลับมารดา
“แม่ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
พราวมุกส่งยิ้มหวานให้มารดา ส่วนมาร์วินนั่นก็นั่งฟังทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาทั้งนั้น
“มาร์วิน พราวมุก วันนี้มีงานประมูลเครื่องเพชรนะ ลูกทั้งสองคนต้องไปงานด้วยนะ” มาร์คอสพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ค่ะพ่อ/ครับ”
มาร์วินและพราวมุกเอ่ยพร้อมกัน ไม่ว่าจะมีงานเลี้ยงหรืองานสังคมของแวดวงไฮโซอะไรก็ตามทั้งงานเล็กงานใหญ่ มาร์คอสจะให้มาร์วินและพราวมุกไปร่วมงานเสมอเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้แก่วงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเพื่อให้ลูกชายได้ไปพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจหลายๆ คนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกัน
ช่วงเย็นของวัน ทั้งช่างแต่งหน้าและช่างแต่งตัวหลายคนเข้ามาในคฤหาสน์เพื่อแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับลูกสาวลูกชายของตระกูลวอล์กเกอร์ มาร์วินไม่ชอบให้ใครเข้าไปเพ่นพ่านในคฤหาสน์ส่วนตัวของเขา ชายหนุ่มจึงให้ช่างฝีมือดีเข้ามาแต่งตัวให้ในห้องนอนเก่าบนคฤหาสน์หลักซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของพราวมุก
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ร่างกำยำสวมชุดทักซิโด้สีเข้มกำลังยืนรอพราวมุกอยู่ข้างๆ รถคันหรูสีดำเงาสนิทโดยมีโจฮันบอดี้การ์ดคนสนิทยืนอยู่ใกล้ๆ มาร์วินตลอดเวลา
“โจฮัน เอาบุหรี่มาสิ กูจะสูบ” มาร์วินเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“ไม่ได้ครับนาย ท่านมาร์คอสสั่งไว้ไม่ให้ดูดครับ เดี๋ยวกลิ่นจะติดเสื้อผ้าครับ” โจฮันตอบกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“มึงนี่มันน่ากระทืบจริงๆ”
“ขอโทษจริงๆ ครับนาย”
สิ้นเสียงของโจฮัน มาร์วินถอนหายใจออกยาวด้วยความหงุดหงิดพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว
“ยังไม่เสร็จอีกเหรอวะ” มาร์วินบ่นพึมพำกับตัวเอง
ในจังหวะนั่นเอง ร่างอรชรของพราวมุกสวมชุดราตรียาวสีทองรัดรูป ด้านบนดีไซน์คล้องคอเว้าไหล่แต่งลูกปัด ผ้าปักเหลื่อมทั้งชุด ผมยาวสลวยถูกปล่อยลงมาคลอเคลียแผ่นหลังแบบบางดันลอนปลายเล็กน้อย ใบหน้าของเธอถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางราคาแพงโทนชมพูแบบสาวหวานยิ่งทำให้พราวมุกดูโดดเด่นและน่ามองมากขึ้น
พราวมุกก้าวเดินมาใกล้ๆ มาร์วินมากขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองต้องมนต์สะกดไปชั่วขณะ เขายอมรับเลยว่านับวันๆ หญิงสาวก็ยิ่งสวยสะพรั่งขึ้นทุกวันๆ สวยจนเขาจะเริ่มมีความคิดที่ไม่ดีกับเธอแล้ว มาร์วินลอบกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับเบี่ยงหน้าหนีไปมองทางอื่น
“ลีลาอยู่ได้ น่ารำคาญ” เสียงทุ้มของมาร์วินพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“ขะ..ขอโทษค่ะ”
ชายหนุ่มทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่พราวมุกเอ่ย เขารีบหมุนตัวหันหลังขึ้นรถไปทันที พราวมุกก็รีบตามมาร์วินขึ้นรถไปติดๆ เพราะกลัวว่าเขาจะหงุดหงิดใส่เธออีก
ระหว่างทางทั้งสองคนเงียบใส่กันมาตลอด จวบจนถึงงานประมูลเครื่องเพชรที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง มาร์วินและพราวมุกก้าวลงมาจากรถคันหรูสีดำเงาพร้อมๆ กัน ผู้คนรอบข้างที่กำลังเดินเข้างานต่างพากันหันมองพวกเขาทั้งสองคนพร้อมกับคนตะลึงในความสวยหล่อของพวกเขาทั้งคู่
“อย่าไปไหนไกลจากฉัน ฉันเบื่อจะต้องมาโดนพ่อแม่บ่นอีก” เสียงทุ้มของมาร์วินเอ่ยกระซิบข้างหูหญิงสาว
พราวมุกไม่ได้ตอบกลับอะไรไปแต่เธอกลับเม้มปากแน่นเพราะลมหายใจร้อนที่เป่ารดต้นคอและแก้มเนียนของเธอนั่นมันทำให้เธอรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างง่ายดาย
“ได้ยินไหมเนี่ยพราวมุก” มาร์วินถามย้ำอีกครั้ง
“ได้ยินค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
สิ้นเสียงของพราวมุก พวกเขาทั้งสองพี่น้องก็ก้าวเดินเข้ามาภายในงานประมูลเครื่องเพชรช้าๆ เหล่าไฮโซและนักธุรกิจต่างสวมเสื้อผ้าที่ราคาหลายล้านพร้อมกับเครื่องเพชรเม็ดใหญ่มาเพื่อโอ้อวดกันถึงฐานะที่ร่ำรวยของตัวเอง
นักธุรกิจหลายคนเดินเข้ามาทักทายมาร์วินตามมารยาททางสังคม ส่วนพราวมุกทำได้แค่ยืนปั้นหน้าฉีกยิ้มสวยๆ อยู่ข้างๆ พี่ชายบุญธรรมหน้านิ่ง
จนกระทั่งเพื่อนของมาร์วินเดินเข้ามาใกล้พวกเขาด้วยท่าทางอารมณ์ดีและเอ่ยทักทายมาร์วินกับพราวมุกน้ำเสียงสดใสร่าเริง
“ไงไอ้เสือ..สวัสดีครับน้องพราวมุก” จัสตินหนุ่มหน้าฝรั่งเอ่ยขึ้น
“สวัสดีค่ะ” พราวมุกยกมือขึ้นมาประนมกลางอกไหว้ทักทายเพื่อนของพี่ชายบุญธรรมอย่างอ่อนน้อม
มาร์วินตวัดสายตามองหน้าพราวมุกสลับกับจัสติน มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงสองข้างด้วยท่าทางสบายๆ จัสตินเองก็เอาจ้องมองพราวมุกไม่วางตา
“สวยจัง” จัสตินเผลอตัวหลุดปากเอ่ยชมหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะมึง” มาร์วินบ่นเพื่อนของตัวเอง
“เอ่ออ..โทษที กูลืมตัว”
“เดี๋ยวกูเข้าไปในงานก่อนนะ ไว้ว่างๆ กูไปเที่ยวเล่นที่บ้านมึงนะ” จัสตินเอ่ยต่อ
“เออ”
สิ้นเสียงของมาร์วิน จัสตินส่งยิ้มกว้างให้พราวมุกแล้วก็ค่อยๆ เดินออกไปจากตรงนี้ช้าๆ มาร์วินตวัดสายตาดุดันน่ากลัวใส่พราวมุกอยู่ชั่วครู่
“มะ..มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามน้ำเสียงตะกุกตะกัก เธอไม่รู้ว่าชายหนุ่มไม่พอใจอะไรเธออีกแล้ว
“อ่อยไปทั่ว”
มาร์วินพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในงานอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามองน้องสาวบุญธรรมเลย
เป็นอะไรของเขาอีกแล้ว
พราวมุกครุ่นคิดอยู่ในใจพลางถอนหายใจออกยาวด้วยความอึดอัดใจที่จุกอยู่ในอกตอนนี้ เธอรีบสาวก้าวยาวๆ เดินตามมาร์วินมาจนถึงเวทีประมูลที่มีเก้าอี้โซฟาสีแดงสุดหรูเรียงรายอยู่โดยหันหน้าไปทางเวทีประมูล หญิงสาวย่อตัวนั่งลงข้างๆ มาร์วินที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา
“น้องพราวมุก” เสียงทุ้มมีเสน่ห์ที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นมาข้างๆ เธอทำให้พราวมุกหันไปมองตามเสียงนั่นทันที
“พี่ติณณ์!”
พราวมุกเรียกชื่อหนุ่มหล่อด้วยท่าทางดีอกดีใจจนมาร์วินต้องหันไปมองหน้าชายหนุ่มคนนั้น มาร์วินจำได้ว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ยืนคุยกับพราวมุกอยู่หน้ามหาวิทยาลัย
“มาได้ไงคะ” เสียงหวานเอ่ยถามต่อ
“พี่มากับพ่อครับ..แล้วมุกมากับใคร”
“อ๋อ มุกมากับพี่ชายค่ะ”
“สวัสดีครับ” ติณณ์ชะเง้อหน้าไปมองมาร์วินพร้อมกับเอ่ยทักทายพี่ชายของพราวมุกตามมารยาท
“สวัสดี” มาร์วินตอบกลับน้ำเสียงราบเรียบ
“มาร์วิน” ชายแก่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ติณณ์เอ่ยขึ้นมา
“คุณกิตติ สวัสดีครับ” มาร์วินปรับสีหน้าให้เป็นปกติพร้อมกับยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า
“สวัสดี..เป็นไงบ้าง..แล้วท่านมาร์คอสกับภรรยาสบายดีไหม” กิตติถามมาร์วินต่อ
“พวกท่านสบายดีครับ”
“นี่ลูกชายลุงเองครับ..ชื่อติณณภพหรือเรียกว่าติณณ์ก็ได้ครับ” ชายแก่แนะนำตัวลูกชายคนเดียวของเขาให้มาร์วินได้รู้จัก
“ครับ”
“พ่อครับ นี่น้องพราวมุกครับ ที่ผมเพิ่งเล่าให้ฟัง” ติณณ์พูดขึ้นมา
“อ๋อ ที่ลูกบอกว่าลูกชอบน้องเขาใช่ไหม”
“พ่อครับ!”
พราวมุกมองหน้าติณณ์ที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำด้วยความงุนงง ส่วนมาร์วินก็ทำหน้านิ่งเรียบตามสไตล์ของเขา
“ฮ่าๆๆ พ่อล้อเล่น แกจะหน้าแดงทำไมละ งานจะเริ่มแล้ว..ลุงกับลูกขอนั่งด้วยนะมาร์วิน” กิตติหัวเราะชอบใจกับท่าทางของลูกชาย ติณณ์เพิ่งจะเล่าให้เขาฟังเมื่อวานนี่เองว่าเจอผู้หญิงที่ถูกใจแถมยังโอ้อวดให้ฟังอีกว่าหญิงสาวทั้งน่ารักทั้งอ่อนหวาน พอกิตติได้มาเห็นกับตาตัวเองเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าทำไมลูกชายถึงดูคลั่งไคล้สาวน้อยคนนั้นขนาดนี้
“ตามสบายครับ” มาร์วินตอบสั้นๆ
“ติณณ์นั่งข้างน้องนั่นแหละลูก เดี๋ยวพ่อนั่งข้างมาร์วิน” กิตติยิ้มกว้างให้ลูกชาย
“ครับ..พี่ขอนั่งด้วยนะมุก” ติณณ์เอ่ยอย่างสุภาพ
“ตามสบายเลยค่ะพี่ติณณ์”