“เออ..โทษนะคะพี่พอจะรูไหมคะ ว่าคณะนิเทศอยู่อาคารไหนคะ“
หลังจากที่ฉันดูดกินชาไทยจนฉันพอใจแล้ว ฉันก็หันไปถามเจ้าของร้านขายน้ำ เพราะตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าคณะไหนอยู่ตรงไหนบ้าง ตอนแรกฉันก็กะจะถามพี่เพทายนั่นแหละ แต่พี่เพทายดันให้ฉันลงที่หน้ามหาลัยซะก่อน ทั้งที่ฉันยังไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ แล้วพี่เพทายก็ไม่ยอมบอกอะไรฉันซักคำ ใจดำชะมัดไม่รู้จะเก๊กไปถึงไหน
”อยู่ด้านหลังอาคารด้านหน้านี้เลยค่ะ อยู่ข้างๆ กับคณะวิศวะเลยค่ะ เดินไปตรงหลังอาคารด้านหน้านี้แล้วมองซ้ายไว้ก็เจอเลยค่ะ”
พี่เขาบอกฉันพร้อมทั้งผายมือไปที่อาคารด้านหลัง แล้วฉันก็มองตามมือของพี่เขาไป ในหัวของฉันก็คิดตามที่พี่เขาบอกไปด้วย
”ขอบคุณนะคะ“
ฉันส่งยิ้มให้พี่เขาแล้วฉันก็ก้มหัวลงนิดหน่อย เพื่อเป็นการขอบคุณ ถึงฉันจะไปอยู่ที่อังกฤษแต่ฉันก็ไม่เคยลืม มารยาทและวัฒนธรรมของไทยเลย แล้วอยู่ที่โน่นพ่อกับแม่ของฉัน ก็คอยอบรมฉันและพี่ชายของฉัน เรื่อง ธรรมเนียมประเพณีไทยอยู่เสมอ อืม..พูดถึงพี่ชายของฉันฉันมีพี่ชายด้วยนะคนนึง พี่ชายของฉันชื่อซันเดย์ นิสัยดีสุขุมแถมยังโสดอีกด้วย ส่วนเรื่องหน้าตาไม่ต้องพูดถึง ดูจากฉันก็รู้ว่าพี่ชายของฉันต้องหล่อมาก เพราะเราหน้าตาคล้ายๆ กัน แตกต่างกันตรงที่พี่ซันเดย์ตัวสูงส่วนฉันตัวเล็ก พี่ซันเดย์ไม่เห็นด้วยเลยซักนิด ที่ฉันกลับมาเรียนที่นี่คนเดียว เพราะพี่ซันเดย์เป็นห่วงฉัน แล้วก็ไม่อยากให้ฉันมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับผู้ชายสองคนแบบนี้ แต่สุดท้ายพี่ซันเดย์ก็ต้องจำยอม เพราะเจอลูกอ้อนของฉันเข้าไปอย่างหนัก ต่อให้ใจแข็งแค่ไหน ก็ต้องสยบให้กับลูกอ้อนของฉันหมดนั่นแหละ เพราะฉันอ้อนเก่งแถมน่ารักอีกด้วย
”ค่ะ“
พี่เขาส่งยิ้มหวานมาให้ฉันด้วยแหละ
“เธอๆ”
ในขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตา กรอกข้อมูลเพื่อที่จะรับป้ายจากรุ่นพี่ ก็มีเสียงหวานเรียกฉัน พร้อมทั้งมือก็สะกิดมาที่แขนของฉันด้วย ฉันเงยหน้ามองขึ้นมาตามเสียงหวานนั่น แล้วฉันก็เจอกับผู้หญิงที่มีหน้าตาที่สวย เรียกได้ว่าสวยมากเลยล่ะ ความสวยของเธอดูเหมือนจะสูสีกับฉันเลยละ เธอยืนยิ้มหวานส่งมาให้ฉัน
“เราชื่อเปรมนะ”
“เปรม”
“อืมๆ..เราชื่อเปรม เธอชื่ออะไรหรอ”
เปรมถามฉันพร้อมกับยิ้มหวานส่งมาให้ฉันด้วย
“เราชื่อของขวัญ“
ฉันตอบพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับเปรม
”เธอเพิ่งจะมาเรียนปี 1 หรอ“
”อืม..ใช่ฉันเพิ่งจะมาเรียนปี 1 คณะนิเทศ แล้วเธอละ“
ฉันตอบเปรมไป แล้วฉันก็ส่งคำถามให้กับเธอด้วย
”เฮ้ย ..จริงดิ เราก็ปี 1 คณะนิเทศเหมือนกันเลย“
เปรมตอบฉันพร้อมกับยิ้มกว้างทีันที เมื่อรู้ว่าฉันเรียนอยู่คณะเดียวกับเปรม
“ฮุ้ย..ดีเลย งั้นเรามาเป็นเพื่อนกัน”
“อืมๆ เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ”
เปรมพยักหน้าให้กับฉัน พร้อมกับยิ้มสดใสของเปรมด้วย
“หึ หึฉันมีเพื่อนใหม่แล้วหนึ่งคน”
เปรมจับแขนของฉันไว้แล้วเธอก็ยิ้มกว้าง ด้วยท่าทางที่ดีใจ ฉันเองก็ต้องยิ้มตามไปด้วย เพราะฉันก็ดีใจที่มาวันแรกฉันก็มีเพื่อนแล้ว
“เราไปนั่งรอรับป้ายชื่อตรงนั่นกันเถอะ“
ฉันชวนเปรมแล้วเราก็เดินไปนั่งรอด้วยกัน
”ปีนี้เห็นเขาว่านักศึกษาเยอะกว่าปีที่แล้วนะ“
เปรมบอกฉันพร้อมทั้งหันไปมองรอบ ๆ
”ดูเยอะจริง ๆ ด้วย“
ฉันหันไปมองรอบ ๆ ตามเปรมแล้วก็เห็นว่านักศึกษา ที่กำลังรอลงชื่อเยอะมากจริง ๆ
”น้องเปรมรับป้ายชื่อได้เลยค่ะ“
เสียงของรุ่นพี่เรียกเปรมให้ไปรับป้ายชื่อ
“ฉันไปรับป้ายชื่อก่อนนะ”
“อืม ๆ”
“น้องของขวัญรับป้ายชื่อได้เลยค่ะ”
คราวนี้รุ่นพี่เรียกฉัน ฉันเดินตามหลังเปรมไปติด ๆ แล้วเราก็ได้ป้ายชื่อมาพร้อมกัน
“ได้ป้ายชื่อแล้วไปนั่งรอที่ลานคณะได้เลยนะคะ”
รุ่นพี่บอกเราสองคนพร้อมทั้งยื่นป้ายชื่อให้เราด้วย
“ค่ะ /ค่ะ”
ฉันกับเปรมเราตอบออกไปพร้อมกัน แล้วเราก็เดินไปที่ลานคณะด้วยกัน เราดูสนิทกันเร็วมาก อาจจะเพราะว่าเราถูกชะตากันด้วยแหละ เปรมเป็นคนสดใสดูเข้ากับคนได้ง่าย ส่วนฉันเองก็เป็นคนยิ้มง่าย แล้วก็เข้ากับคนได้ง่ายเหมือนกัน เราก็เลยเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว
“ของขวัญมานั่งตรงนี้“
เปรมดึงแขนของฉันไปนั่งตรงที่ว่าง แล้วเราก็นั่งข้างๆ กัน เพื่อรอทำกิจกรรมร่วมกับนักศึกษาคนอื่นๆ
“ฉันชอบการรับน้องที่นี่จังเลย”
ฉันพูดกับตัวเองแล้วฉันก็ยิ้มเล็กๆ เพราะฉันมีความสุขมากที่ฉันได้กลับมาอยู่ที่นี่
“ของขวัญยิ้มให้ใครหรอ”
เปรมถามฉันแล้วเปรมก็มองไปรอบๆ
“เปล่าหรอกฉันแค่พูดกับตัวเอง”
“หือ..พูดกับตัวเองงั้นหรอ”
“อืม..ใช่ๆ”
ฉันพยักหน้าแล้วก็ยิ้มหวานส่งให้กับเปรมไปด้วย
“พูดกับฉันก็ได้นะเราเป็นเพื่อนกันแล้ว มีอะไรก็ปรึกษาฉันได้เลย”
เปรมดูสดใจจังเลย ฉันมองหน้าเปรมแล้วฉันก็ต้องยิ้มตามทุกทีเลย
“ได้สิต่อไปฉันจะคุยกับเธอนะ”
ฉันตอบออกไปแล้วฉันก็ยิ้มตามไปด้วย ขณะที่ฉันกับเปรมคุยกันอยู่ พี่คณะก็เดินเข้ามาเพื่อที่จะมาทำกิจกรรมรับน้อง ฉันกับเปรมร่วมทำกิจกรรมรับน้องจนถึงเย็น แล้วเราสองคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น หลังจากที่กิจกรรมจบลงฉันกับเปรมก็เดินออกมาที่หน้าคณะ เราสองคนยืนมองซ้ายมองขวาอย่างสำรวจด้วยความสนใจ เพราะเราทั้งสองคนเพิ่งจะเข้ามาเป็นวันแรก ก็เลยยังไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหนกันดี
“มองอะไรกันตั้งใจทำกิจกรรมหน่อยสิ”
เสียงเข้มของใครบางคนดังมาจากหน้าคณะวิศวะ ฉันกับเปรมหันไปมองที่ต้นเสียงพร้อมกัน แล้วฉันก่อนเห็นว่านักศึกษา ที่กำลังนั่งอยู่ที่หน้าคณะวิศวะ หันมามองทางฉันกับเปรมยืนอยู่ ก่อนที่ฉันจะมองเห็นว่าพี่เพทาย คือเจ้าของเสียงเข้มที่ตะโกนเมื่อซักครู่
“ทำไมต้องเสียงดังขนาดนั้นด้วย ทำแบบนี้จนเคยตัวไปแล้วมั้ง”
ฉันบ่นพร้อมทั้งมองดูท่าทางของพี่เพทาย ที่กำลังเสียงดังข่มรุ่นน้องที่หน้าคณะวิศวะ
“ของขวัญเธอว่าใครหรอ”
เปรมถามฉันแล้วเปรมก็มองหน้าฉัน พร้อมทำหน้าสงใสไปด้วย
“ก็ว่าพี่เพทายน่ะสิชอบตะโกนใส่หน้าคนอื่น ไม่คิดบ้างหรือยังไง ว่ามันดูไม่มีมารยาทมากแค่ไหน“
“พี่เพทายงั้นหรอเธอหมายถึง พี่คณะวิศวะที่ตะโกนเสียงดังเมื่อสักครู่น่ะหรอ”
เปรมยกคิ้วถามฉันพร้อมกับมองไปหาพี่เพทาย
“ก็ใช่น่ะสิ”
ฉันตอบเปรมเสียงนุ่มลง แล้วฉันก็หันมามองที่เปรม
“เธอรู้จักพี่เขาด้วยหรอ”
“ใช่พี่เพทายเป็นเออ..เป็น..“
”เป็นอะไรหรอของขวัญ“
เปรมถามฉันเมื่อฉันค่อยๆ หยุดพูด แล้วคิดว่าฉันกับพี่เพทาย ต้องบอกว่าเป็นอะไรกันดี ถึงจะดูเหมาะสม
”เป็นพี่ชายที่เป็นลูกชายของเพื่อนสนิทของพี่ฉันอ่ะ ดูงงๆ ใช่ไหมละ”
ฉันบอกเปรมไปตามความจริง
“ก็เท่ากับว่าเป็นพี่ชายของของขวัญใช่ไหม”
“ก็ทำนองนั้น”
ฉันตอบออกไปเสียงเบา เพราะฉันไม่ชอบพี่ชายที่ใจร้ายแบบนี้ ทั้งที่ฉันไม่ชอบคนใจร้ายแบบนี้ แต่ฉันก็ได้มาอยู่กับคนใจร้าย เฮ้อ..ชีวิตมันหน้าเศร้าจริงๆ
“ฮุ้ย..ของขวัญเธอรู้ตัวไหม ว่าเธอมีพี่ชายที่หล่อมาก”
เปรมตาโตหันมามองฉัน สลับกับหันไปมองพี่เพทาย ดูเปรมตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียวละ
“หล่อแต่ดุนะเปรม”
ฉันบอกเปรมอย่างไม่คาดหวัง ว่าเปรมจะเชื่อที่ฉันพูดหรือเปล่า เพราะดูเปรมจะสนใจความหล่อของพี่เพทาย มากกว่าคำพูดของฉันซะอีก
“ฉันว่าเรานั่งตรงนี้กันเถอะ”
เปรมบอกฉันพร้อมกับจับมือของฉัน เดินไปนั่งที่โต๊ะไม้หน้าคณะนั่นแหละ แล้วก็จะมองเห็นคณะวิศวะได้ชัดมาก เพราะคณะเราอยู่ใกล้กันมากที่สุด