"ผมจะเอาปัญญาที่ไหนไปทำร้ายตัวเองล่ะครับแม่ แค่มองหาอาวุธผมยังทำไม่ได้เลย" บุตรชายเอ่ยออกมาด้วยความน้อยใจ นั่นทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกสะท้อนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็คงเป็นสิ่งที่ยากสำหรับบุตรชายเหมือนกัน จริงอย่างที่เขาว่า ตาเขามองไม่เห็น เขาจะไปมองหาอาวุธได้ยังไง ท่านต้องเชื่อใจเขา แล้วปล่อยให้บุตรชายผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้
"แม่ไม่รู้แหละแม่ต้องให้ลูกรับปากก่อน ถ้าลูกไม่ยอมรับปาก แม่ก็จะไม่ยอมกลับบ้านจริงๆ ด้วย" แม่เลี้ยงบัวตองยังต่อรองกับบุตรชาย ท่านต้องการให้บุตรชายรับปาก ท่านไม่อยากเสียใจทีหลัง
"ก็ได้ครับแม่ ผมรับปากว่าผมจะไม่ทำร้ายตัวเองคราวนี้แม่พอใจหรือยัง กลับไปเถอะครับกลับไปพักผ่อน แม่ก็มีโรคประจำตัว ปล่อยให้พยาบาลกับหมอที่นี่ดูแลผม ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ" ผู้เป็นบุตรชายยังคงเอ่ยด้วยความเป็นห่วงมารดา นั่นก็เพราะว่าท่านมีโรคประจำตัวหลายโรค ส่วนเขาอาการมันคงที่แล้ว เขาอยากให้มารดากลับไปพักผ่อนมากกว่า แต่เขาไม่รู้เลยว่ากลับไปมารดาก็คงไม่พักผ่อนหรอก เพราะท่านมีแผนที่จะไปปรึกษากับสามีเรื่องของบุตรชาย ตอนนี้ในหัวสมองของท่านกำลังคิดหาสิ่งที่ท่านต้องการอยู่ และเพื่อความมั่นใจท่านต้องกลับไปปรึกษากับสามี ที่ตอนนี้สามีทำหน้าที่ดูแลปางไม้แทนบุตรชาย ที่ประสบอุบัติเหตุจนต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
"แม่จะให้พยาบาลเข้ามาดูลูกอยู่เรื่อยๆ นะ ถึงลูกรับปากแล้วแม่ก็ยังห่วงลูกอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าลูกคิดสั้น รับรองลูกทำไม่สำเร็จแน่ๆ" แม่เลี้ยงบัวตองกำชับอีกครั้งตอนนี้ท่านจะเดินออกไปจากห้องพักฟื้นของบุตรชายแน่นอนว่าท่านจะทำอย่างที่ท่านพูดจริงๆ ท่านไม่มีทางยอมสูญเสียผู้ชายไป ไม่ว่ายังไงเสียท่านจะทำทุกอย่างเพื่อให้บุตรชายของท่านกลับมาปกติโดยเร็ว
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามารดาออกไปจากห้องของเขา เขาก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ท่านคงไปแล้วจริงๆ เขาเจ็บปวดจนไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้เขาหมดสิ้นศรัทธาในความรัก และไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่เพราะความเป็นห่วงของมารดา ทำให้เขาต้องพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ แม้ว่าจะเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม