3
[ลูกศร]
กลิ่นอายอดีต
ฉันหยิบมือถือขึ้นมาเล่นระหว่างที่รถติดแหง็กกลางเมือง ต้องขมวดคิ้วทุกครั้งที่ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ท่อดังๆเบียดแทรกมาข้างรถ และเสียงแตรที่บีบไล่หลัง ไม่ต่างจากกลุ่มเพื่อนที่ฉันกำลังไล่อ่านแชตตอนนี้ น่ารำคาญพอๆกัน
ตอนอยู่ลอนดอนฉันไม่อ่านไลน์ใครทั้งนั้น และปกติฉันจะปิดแจ้งเตือนไว้เพราะพวกหล่อนคุยกันทั้งวัน ใครตายค่อยโทรมาบอก แต่วันนี้ฉันกลับมาไทยจึงเข้ามาดูไลน์กลุ่มซะหน่อย ซึ่งพวกเธอพูดถึงฉันพอดี
LINE | Rebel Queens (4)
NAE_ON : ลูกศรกลับไทยวันนี้นี่ เป็นไงบ้างเพื่อนคนสวยและรวยมาก เบื่อบ้านรึยัง
DAIDAI : น่าจะเบื่อแล้วล่ะ คืนนี้สักหน่อยไหม
PITTA : หวนคืนตัวแม่ตัวมัมหน่อยเป็นไงลูกศร
DAIDAI : ยังสนใจหนุ่มไทยไหม หรือติดใจหนุ่มอังกฤษไปแล้ว @LS.
NAE_ON : กรี๊ดดดด วันนี้นางอ่านไลน์ว่ะ
ฉันเอนพิงเบาะแล้วยกขาไขว่ห้าง ก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบเพื่อนในกลุ่มไป
LS. : ฉันยังไม่ถึงบ้าน
NAE_ON : ถึงแล้วก็แต่งตัวเลย มีผับเปิดใหม่เพียบ
LS. : ไม่ล่ะ วันนี้ฉันเบื่อๆ
DAIDAI : ไม่ได้ดิไม่ได้เจอกันเกือบสามปี หล่อนจะไม่ออกมาปาร์ตี้ไม่ได้ มีเรื่องเมาท์เยอะแยะโดยเฉพาะเรื่องผู้ชายเก่าของแก
นิ้วฉันที่กำลังจะพิมพ์ชะงัก...
ผู้ชายเก่า?
เหอะ ถ้าเป็นคนคนนั้นฉันลืมไปแล้ว จะพูดขึ้นมาอีกทำไม แถมฉันยังเป็นคนตัดเขาออกไปจากวงจรชีวิตที่มีแต่กิน นอน เซ็กซ์ของตัวเองอีกด้วย
LS. : ไม่อยากรู้ ส่วนเรื่องคืนนี้ถ้าฉันเบื่อฉันจะบอก
NAE_ON : เอาเถอะๆ ไม่รู้ก็ดีแล้ว ยังไงโทรมาแล้วกัน ฉันเข้าประชุมแล้ว
หลังจากที่ เนออน ขอตัวไปประชุม ได๋ได๋ กับพิตต้า ก็คุยกันต่อจนฉันต้องปิดแชตลงอย่างรำคาญ สามคนนี้เป็นเพื่อนของฉันก็จริง แต่ฉันค่อนข้างแบ่งขอบเขตอย่างชัดเจน เป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยอ่านไลน์และตอบไลน์ใคร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องรับรู้หรือสำคัญจริงๆ ฉะนั้นเรื่องทั่วไปสามคนนี้ไม่ค่อยเอามาเข้าหูฉันหรอก
เนออน เป็นลูกสาวนักการทูตตอนนี้เปิดบริษัทผลิตรองเท้า ทำแบรนด์รองเท้าเป็นของตัวเอง
ได๋ได๋ เป็นลูกตระกูลดัง ทำธุรกิจเกี่ยวกับกระดาษ พวกโรงงานทำกระดาษอะไรทำนองนั้น
และพิตต้า เป็นลูกสาวเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่รับผลิตให้หลายๆแบรนด์
รู้ตัวอีกทีรถก็มาจอดที่หน้าประตูบ้านแล้ว พวกแม่บ้านออกมายืนรอต้อนรับ ถัดไปอีกเป็นน้องสาวฝาแฝดฉันและคุณแม่ที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฉันลงจากรถและยืนต่อหน้าทุกคน แว่นกันแดดไม่ถูกลดลงเพราะไม่อยากสบตากับใคร
"สวัสดีค่ะคุณแม่"
"ขอแม่กอดหน่อยสิลูกศร"
"ค่ะ" คุณแม่รู้ดี ว่าจะแตะตัวฉันต้องขออนุญาตก่อน เมื่อฉันอนุญาตท่านก็เดินมาสวมกอดฉันหลวมๆ ตามด้วยลูกโซ่ที่กระเถิบเข้ามาทีละนิด
"พี่ลูกศรสวยขึ้นเยอะเลย"
"ไม่ต้องชมเอาใจฉัน"
พูดจบฉันก็กอดอกมองน้องสาวฝาแฝดตัวเองหัวจรดเท้า ลูกโซ่ไม่มีอะไรที่เหมือนฉัน หน้าตาอาจจะคล้ายอยู่บ้าง แต่นิสัยเราสองคนเหมือนนรกกับสวรรค์
ใช่... นรกน่ะฉัน สวรรค์คือลูกโซ่
"คุณพ่อรออยู่ข้างในค่ะ ไปกันๆ" ลูกโซ่เดินมาจับแขนฉันแล้วดึงเข้าบ้านอย่างดีใจ แต่ฉันชักแขนกลับทันทีจนมือขาวๆของยัยนั้นค้างกลางอากาศ
"ขอโทษค่ะลูกโซ่ลืม"
"ฉันกลับมาแล้วก็จำใส่สมองเธอไว้บ้างว่าฉันไม่ชอบให้ใครจับตัว"
"ค่ะ"
"ลูกศร ไม่เอาน่าลูก น้องคงคิดถึงมากจนลืมคิดเรื่องนั้น" หลังแว่นกันแดด ฉันปลายตามองลูกโซ่ด้วยหางตาก่อนจะเดินเข้าบ้านอย่างไม่ใส่ใจ เข้ามาข้างในก็เห็นกระเป๋าฉันตั้งอยู่แล้ว ถัดไปอีกในห้องโถงคุณพ่อนั่งอยู่ที่โซฟาและมองมาที่ฉัน
ฉันจึงยกมือไหว้ท่าน
"กลับมาแล้วค่ะ สวัสดีค่ะ"
ร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟาเดินล้วงกระเป๋ากางเกงมาหยุดตรงหน้า
"พ่อได้ยินที่เราพูดกับน้อง ขอโทษน้องซะ" เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยถ้าฉันอยู่บ้านหลังนี้ และลูกโซ่ก็จะโร่มาขวางพร้อมมือที่โบกไปมาบอกว่าไม่เป็นไร
"ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ ลูกโซ่ผิดเองค่ะ เรื่องจับตัวพี่ลูกศรเคยบอกแล้วแต่ลูกโซ่ผิดเองที่ลืมค่ะ"
"ลูกศรใช้คำพูดแรงไป นี่คือความผิดของลูก" ฉันถอนหายใจแล้วถอดแว่นกันแดดออกมองหน้าคุณพ่อ
"ขอโทษแล้วกันลูกโซ่ แต่ถ้าคราวหลังเธอลืมอีก ฉันจะด่าเธอให้แรงกว่านี้"
"ขะ เข้าใจแล้วค่ะ"
"เอาล่ะๆไม่เครียดกันเนอะ แม่ว่าลูกศรมาเหนื่อยๆอาจจะหงุดหงิด ไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนนะลูก อยากกินอะไรไหม? อาหารไทยดีไหม"
ฉันพยักหน้าเบาๆ
"เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ อาหารไทยก็ได้ งั้นหนูไปพักผ่อนนะคะ ถ้าใครจะคุยเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องอนาคตขอเป็นวันอื่น"
ว่าจบฉันก็เดินหลบคุณพ่อตรงไปที่บันไดกลางบ้าน ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดหลบเลี่ยงเรื่องน่าหงุดหงิดไปที่ห้องนอนตัวเอง
ทว่าเปิดประตูเข้ามา... กลิ่นอายเก่าๆยังตลบอยู่เต็มห้อง ฉันเดินไปที่เตียงแล้วโยนกระเป๋าสะพายลงบนเตียง จากนั้นเดินไปที่ชั้นหนังสือที่มีรูปถ่ายของฉันวัยเด็ก ไล่ตามองตั้งแต่ ประถม มัธยม ตลอดจนมหาวิทยาลัย
คนที่ถ่ายรูปและไม่เคยยิ้มเลย คงจะมีแค่ฉันนี่แหละ
ฉันจึงเดินต่อไปที่ห้องแต่งตัวแล้วเปิดประตูตู้เสื้อผ้าทุกบานเช็กของ ห้ามจับตัวฉันก่อนขออนุญาต ของส่วนตัวฉันก็ห้ามแตะก่อนที่ฉันจะอนุญาตเหมือนกัน ฉันกวาดตามองเสื้อผ้าแบรนด์เนมของตัวเองอย่างสำรวจ แต่แล้วตาก็เหลือบไปเห็นกล่องเก็บของอยู่บนชั้นด้านบน
ฉันรีบเขย่งขึ้นไปยกมันลงมา ก่อนจะถือไปวางที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กล่องนี้ฉันจำได้ว่าตัวเองทิ้งไปแล้วก่อนไปลอนดอน แต่ทำไมมันกลับมาอยู่ในตู้เสื้อผ้าฉันอีก?
กล่องถูกหมุนดูรอบๆ ฉันยืนชั่งใจกับของด้านในเล็กน้อยเพราะจำได้ว่าเป็นของที่ตัวเอง 'ตั้งใจ' ทิ้งอย่างไม่ใยดี แต่เมื่อมันกลับมาอยู่ในตู้ฉันแบบนี้ โดยที่ไม่รู้ว่าใครนำกลับมา ฉันคงต้องลองเปิดดูอีกครั้ง
มันเป็นแค่กล่องกระดาษธรรมดา แค่ฉันดึงฝาด้านบนขึ้นก็เปิดได้แล้ว แอบหงุดหงิดที่ตอนทิ้งฉันไม่ปิดผนึกให้ดีกว่านี้ ถ้าคนที่ยกกลับมาจากถังขยะหน้าบ้านเป็นคนสอดรู้สอดเห็นคงรู้หมดแล้วว่าด้านในมีอะไร
ซึ่งมันก็มีเหมือนเดิมไม่ขาดหรือพังไปสักชิ้น เป็นของที่ผู้ชายคนนั้นให้ฉันทั้งหมด รวมถึงของชิ้นสุดท้ายที่ฉันตัดสินใจตัดสัมพันธ์กับเขา ฉันจึงหยิบการ์ดใบนั้นที่หนีบติดกับกล่องกำมะหยี่สีเทาออกมาดูเป็นชิ้นแรก
นี่แหละของขวัญชิ้นสุดท้าย และเป็นของขวัญวันเรียนจบของฉัน จากผู้ชายที่ฉันไม่เคยคิดจะขยับความสัมพันธ์จากคู่นอนเป็นอย่างอื่น...
... แต่เขาดันข้ามเส้นมัน