ฝนเริ่มซา
รถคันหรูเลี้ยวเข้าซอยเล็กหน้าร้าน”อบเชย&นลิน“ แสงไฟจากหน้าร้านส่องลอดม่านลงมาเป็นแถบ
นลินนิ่งเงียบอยู่ข้างคนขับ ราวกับยังไม่รู้จะวางใจไว้ที่ไหน ระหว่างความเปียกที่กายกับความสั่นไหวในใจ
ลีอองดับเครื่อง แต่ยังไม่เปิดประตู เขาเพียงปรายตามองเธอที่ยังนั่งนิ่งไม่ขยับ ก่อนพูดเสียงเรียบ
“คืนนี้...ไม่มีใครเห็นเธอเท่าที่ฉันเห็น”
นลินชะงัก เธอไม่กล้ามองเขา
แต่หัวใจกลับเต้นแรงในอกเหมือนคำพูดของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ในรถ
ขณะนั้นเอง
เสียงประตูรั้วเล็ก ๆ หน้าร้านเปิดออก
หญิงสูงวัยร่างท้วมคนหนึ่งเดินจูงมือเด็กชายตัวน้อยออกมา
“คุณน้าแป๋ว” เพื่อนบ้านที่เธอฝากปรีย์ไว้ก่อนออกไปซื้อของ
และตอนนี้...เด็กชายตัวเล็กก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าร้าน
พร้อมดวงตากลมโตที่เบิกกว้างเมื่อเห็นรถลีอองจอดอยู่
“คุณลุง!”
เสียงปรีย์ร้องขึ้นอย่างดีใจ
ก่อนจะสะบัดมือคุณน้าแล้ววิ่งเข้าไปใกล้รถอย่างรวดเร็ว
นลินรีบเปิดประตูรถ
“ปรีย์! อย่าวิ่งลูก พื้นมันลื่น!”
แต่เด็กน้อยก็พุ่งถึงตัวลีอองเสียก่อน
มือเล็กคว้าแขนเสื้อเขาไว้แน่น
ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความไว้วางใจที่ไม่มีแม้แต่เงาของความกลัว
“คุณลุงมาหาเราจริง ๆ ด้วย! แม่บอกว่าฝนตก แต่ผมรู้เลยว่าคุณลุงไม่กลัวหรอก!”
ลีอองชะงัก
เขาก้มมองเด็กชายตรงหน้า
ดวงตาใส ๆ ที่มองเขาเหมือนเป็นฮีโร่ในจินตนาการ
มือเขายื่นไปลูบศีรษะเด็กโดยไม่รู้ตัว
หัวใจที่เคยแข็งราวหินกลับอ่อนลงอย่างประหลาด
นลินเดินมาถึงทันที
มองภาพตรงหน้าอย่างพูดไม่ออก ลูกของเธอ ที่ไม่เคยไว้ใจใครง่าย ๆ
กลับกระโจนเข้าหาผู้ชายที่เธอเองยังไม่รู้ว่าจะวางเขาไว้ตรงไหนในชีวิต
เธอยืนมองเงียบ ๆ ขณะลีอองย่อตัวลงข้างปรีย์
พูดกับเขาเบา ๆ เหมือนคำสัญญาระหว่างลูกผู้ชายสองคน
“ถ้ามีใครรังแกเธอ...ให้บอกฉันก่อนแม่ของเธอนะ”
“แต่ถ้าแม่ร้องไห้…เธอต้องเป็นคนแรกที่ปลอบเธอ เข้าใจไหม?”
ปรีย์พยักหน้าแรง
รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าที่ไร้เดียงสา
และนั่น ทำให้นลินต้องกลืนน้ำลายเงียบ ๆ เพื่อกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้ในอก
ลีอองลูบหัวเด็กชายเบา ๆ อีกครั้ง ก่อนจะหันมามองนลิน
เตรียมจะเอ่ยลาและเดินกลับขึ้นรถ
แต่ทันใดนั้นเองเสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
“คุณลุง! ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนได้ไหมครับ?”
"ลีอองชะงักเท้า"
เขาหันกลับมาอีกครั้ง เจอแววตาใส ๆ ของปรีย์ที่จ้องเขาอย่างคาดหวัง
มือเล็ก ๆ คว้าแขนเสื้อเขาไว้เหมือนกลัวว่าเขาจะหายไป
“แม่เพิ่งบอกว่าวันนี้จะทำไข่พะโล้กับหมูทอดน้ำปลา!
แม่ทำอร่อยที่สุดในโลกเลยนะครับ ผมชอบมาก!”
เด็กชายพูดพลางยกนิ้วโป้งขึ้นด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
นลินที่ยืนอยู่ด้านหลัง ถึงกับสะอึกเล็กน้อย
เธอรีบพูดขัด “ปรีย์ ลูก…อย่ากวนคุณ…”
แต่ไม่ทันที่นลินได้พูดจบ
ลีอองก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ที่น่าตกใจกว่าสิ่งใด
“ตกลง”
นลินเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที
“คุณไม่ต้องก็ได้นะคะ ”
“ฉันไม่กินข้าวกับใครง่าย ๆ” เขาพูดขณะจ้องเธอ
“แต่ถ้าเป็นฝีมือเธอ...ฉันคิดว่ามื้อนี้ควรจะลองดูสักครั้ง”
ปรีย์ตบมือด้วยความดีใจ
เด็กน้อยวิ่งเข้าไปที่ประตูร้านแล้วหันมาพูดอย่างภูมิใจ
“เย่! แม่! คุณลุงจะได้รู้แล้วว่าแม่ทำกับข้าวอร่อยแค่ไหน!”
ลีอองยังไม่ขยับ
เขายืนอยู่ตรงจุดเดิม สบตากับนลินในระยะใกล้
สายตาของเขาไม่ได้มีแค่ความนิ่งเฉียบ แต่มันเริ่มมีบางอย่างอ่อนลง
เหมือนกำแพงที่เคยป้องกันหัวใจเขากำลังค่อยๆละลาย
เพราะเด็กชายตัวเล็กและผู้หญิงที่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีอิทธิพลต่อเขาแค่ไหน
“ฉันหิวแล้ว”
เขาพูดเสียงเบา
“และคืนนี้อยากกินอะไรที่ทำด้วยมือเธอ”
นลินใจเต้นแรง เธอพยักหน้าช้า ๆ
แล้วเปิดประตูร้านให้เขาเดินเข้าไปในโลกของเธออย่างเป็นทางการ
กลิ่นกระเทียมเจียวลอยฟุ้งไปทั่วร้าน
เสียงน้ำมันเดือดเบา ๆ ดังจากครัวเปิดหลังร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่เพิ่งปิดไฟป้ายไปเมื่อไม่นาน
นลินยืนอยู่หน้าเตา มัดผมรวบลวก ๆ ด้วยหนังยางเส้นเล็ก
เสื้อเปลี่ยนจากผ้าเปียกฝน เป็นเสื้อยืดสีขาวสะอาดคู่กับผ้ากันเปื้อนลายจุด
มือของเธอกำลังหั่นหมูอย่างคล่องแคล่ว
ขณะที่อีกมือพลิกไข่พะโล้ที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่มในหม้อดิน
ในโซนหน้าร้าน
ลีอองนั่งบนเบาะไม้ตัวเล็กหน้ามุมเล่นของเด็ก
ตรงข้ามกับเขา คือนักเล่าเรื่องตัวจิ๋ววัยห้าขวบที่กำลังวาดรูป “บ้านในฝัน” ด้วยดินสอสี
“นี่ไงครับ บ้านที่มีสนามหญ้าใหญ่ ๆ แล้วก็มีหมา 2 ตัว”
ปรีย์ยื่นกระดาษให้ลีอองดูด้วยสีหน้าภูมิใจ
“แล้วก็มีแม่ มีผม...แล้วก็คุณลุงอยู่ในบ้านนี้ด้วย!”
ลีอองนิ่งไปเล็กน้อย
ดวงตาเขาจับจ้องภาพวาดเด็กน้อยอย่างเงียบ ๆ
ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีคำชม
แต่รอยยิ้มบาง ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าเขาในตอนนั้นมีความหมายมากกว่าคำพูดใด ๆ
ระหว่างที่เด็กน้อยวุ่นวายกับการระบายสี
สายตาของลีอองก็เผลอลอบมองไปทางครัวหลายครั้ง
เขามองเสี้ยวหน้าของเธอ
ผู้หญิงที่ดูธรรมดาในสายตาใครหลายคน
แต่ในสายตาเขา กลับสวยที่สุดตอนยืนอยู่หน้าเตาในห้องครัวเล็ก ๆ แบบนี้
เธอไม่ได้แต่งหน้า มือก็เลอะซอสและน้ำปลา
แต่กลับดูน่าจับจองมากกว่าผู้หญิงแต่งกายหรูในไนต์คลับของเขานับร้อย
“ภาพแบบนี้ที่ลีอองไม่เคยเห็นในบ้านของตัวเอง”
“แต่มันกลับรู้สึกเหมือนเป็นบ้านที่แท้จริง”
ไม่นาน โต๊ะไม้เล็ก ๆ ถูกจัดไว้ตรงมุมร้าน
กับข้าวเรียบง่าย วางเรียงอยู่ตรงกลาง
ข้าวสวยร้อน ๆ ในหม้อเล็ก และกับข้าวแค่สามอย่าง ไข่พะโล้ หมูทอดน้ำปลา และผัดผักบุ้งไฟแดง
“เชิญค่ะ”
นลินวางจานใบสุดท้ายลง เสียงเธอนุ่มแต่ไม่อ่อนแอ เหมือนพยายามควบคุมหัวใจตัวเองไม่ให้ไหวไปกับบรรยากาศในคืนนี้
ลีอองนั่งลงข้างปรีย์
เขาตักไข่พะโล้ลงจาน ลองชิมคำแรก
และแทบหยุดไม่ได้จนถึงคำที่สอง
“ฝีมือเธอ” เขาเงยหน้าขึ้น “อร่อยกว่าร้านอาหารมิชลินในเซี่ยงไฮ้หลายร้านที่ฉันเคยไป”
นลินเลิกคิ้วเล็กน้อย “คุณพูดเกินไปแล้วค่ะ”
“ฉันไม่พูดเรื่องที่เกินจริง”
เสียงเขานิ่ง แต่สายตาไม่ได้หลบ
“เธอแค่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองเก่งกว่าที่คิด”
ปรีย์ยิ้มกว้างจนตาหยี
“ผมบอกแล้ว! แม่ผมทำอร่อยที่สุด!”
สามคนนั่งล้อมโต๊ะไม้เล็ก ๆ ภายใต้แสงไฟสีอุ่น ไม่มีบทสนทนาใหญ่โต
ไม่มีเสียงหัวเราะดังสนั่น มีแค่ความเงียบสงบที่ไม่อึดอัด
และหัวใจสามดวงที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังค่อย ๆ เรียนรู้คำว่า “บ้าน” อีกครั้ง
ในค่ำคืนที่ฝนเพิ่งหยุดไป
หัวใจบางดวงเพิ่งเริ่มเปียก
และบางดวงเพิ่งเริ่มอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างเงียบงัน
หลังจากจานสุดท้ายถูกเก็บไปวางในอ่างล้างจาน และเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ของปรีย์เงียบลงเพราะง่วงนอน
ลีอองลุกขึ้นยืน พลางหยิบเสื้อคลุมที่พาดไว้ตรงพนักเก้าอี้
เขาหันไปพยักหน้าให้นลินเล็กน้อย
“ฉันขอตัวก่อน”
นลินผงกหัวรับ เธอไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่เดินตามเขาออกไปส่งถึงหน้าร้าน
อากาศหลังฝนเย็นสบาย กลิ่นดินหลังฝนตกลอยแตะจมูก
ทุกอย่างดูเงียบสงบ แต่หัวใจเธอกลับไม่สงบเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองยืนเงียบอยู่ใต้ไฟหน้าร้าน ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากนลิน
จนกระทั่งลีอองหันกลับมามองเธออีกครั้ง สายตาคู่นั้นไม่ต่างจากเดิม
ยังคม นิ่ง และอ่านยาก
แต่ครั้งนี้ มีอะไรบางอย่างในแววตานั้นที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“ขอบคุณสำหรับมื้อเย็น” เขาเอ่ยเบา ๆ
“ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้หรือเปล่า แต่วันนี้มันเป็น ‘มื้อแรก’ ที่ฉันรู้สึกว่าได้กินข้าวกับครอบครัวจริง ๆ”
นลินชะงักไป จู่ ๆ เธอก็ไม่กล้ามองหน้าเขา
เพราะกลัวว่าถ้าสบตา เธอจะละสายตาไม่ได้อีก
ลีอองก้าวเข้าไปใกล้เล็กน้อย ไม่ได้แตะตัวเธอ ไม่ได้ล้ำเส้น
แต่เสียงของเขาตอนพูดนั้นกลับสั่นสะเทือนใจเธออย่างรุนแรง
“คืนนี้เธอไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ฉันอยากปกป้อง”
“แต่เธอกลายเป็นที่ที่ฉันแน่ใจว่า ตัวเองอยากกลับมาหาอีกกี่ครั้ง”
นลินเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่เขายิ้มบาง ๆ แล้วผละออกไปอย่างเงียบงัน
ลีอองเดินขึ้นรถโดยไม่หันกลับมา รถคันหรูเคลื่อนออกไปท่ามกลางความเงียบและถนนเปียกชื้นหลังฝน
และเธอ…ยืนอยู่ตรงนั้น
กลางความเงียบที่ไม่ว่างเปล่า
พร้อมคำพูดหนึ่งที่กำลังสะท้อนก้องในใจ
“ไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากกลับมาหาอีกกี่ครั้ง”
เธอรู้คำว่า "อีกกี่ครั้ง" สำหรับเขา มันอาจหมายถึง "หลายครั้ง"
และนั่นคือสิ่งที่เธอกลัวที่สุด