ไร้วาสนาต่อกัน

1483 คำ
ฉันชื่อบัว สาวชาวบ้านที่ใคร ๆ ต่างก็เอ็นดูและพยายามที่จะเข้าหาเพื่อครองใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ ก็ได้แค่ความเกรงใจจากฉัน ไม่เคยได้มากกว่านั้นสักคน เหตุที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าฉันเย่อหยิ่ง หรือทะนงตนในความงาม แต่เป็นเพราะฉันมีคนที่ฉันหมายปองในใจอยู่แล้ว แม้ผู้ชายคนนั้นจะไม่เคยมองมาที่ฉันเลยก็ตาม ฉันเก็บผู้ชายคนนั้นเอาไว้ในใจมาตลอด 10 ปี เฝ้าหวังว่าสักวันวาสนาที่มีต่อกันจะผลักเขาเข้ามาในชีวิตของฉันอีกครั้ง แต่ดูเหมือน... สวรรค์จะผลักผิดคนไปหน่อย หรือจริง ๆ แล้วตั้งใจจะใช้ความกตัญญูเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งฉันกันแน่ “เอ้า ปลัด มา ๆ กินข้าวครับ” (เอ้า ปลัด มา ๆ กินข้าวครับ) ชายวัยกลางคนตะโกนพูดกับผู้มาใหม่ที่เพิ่งจอดรถกะบะสีดำป้ายแดงอยู่หน้าบ้าน แล้วเดินเข้ามาด้านในพลันยกมือขึ้นไหว้และยิ้มร่าอย่างเป็นมิตร “มาอีกแล้ว” ชบาที่กำลังจะถือกล่องข้าวออกไปที่แคร่หน้าบ้านยกมือขึ้นมาค้ำเอวไว้หลวม ๆ พลันย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจที่ปลัดหนุ่มใหญ่อย่างคุณวสันเทียวใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าหนี้เข้ามาวอแวฉันไม่เลิก “คงมาเก็บดอกเบี้ยมั้ง” ฉันหันไปพูดกับน้องสาว ก่อนจะยกถาดอาหารออกมาที่แคร่ ที่ตอนนี้มีทั้งพ่อ แม่ และคุณปลัดนั่งคุยกันอยู่ “มาเก็บดอกเบี้ยบ้อคุณปลัด คือเพิ่งจ่ายไปวังสิ้นเดือนหนึ่ง” (มาเก็บดอกเบี้ยเหรอคุณปลัด เพิ่งจ่ายไปตอนสิ้นเดือนเองไม่ใช่เหรอ) แม่ถามสีหน้าเคร่งเครียด เพราะตอนนี้หมุนเงินแทบจะไม่ทันอยู่แล้ว “เปล่าหรอกครับ ผมแค่มาหาบัว พอดีผมไปประชุมที่ต่างจังหวัด เลยซื้อขนมมาฝากน้องด้วย” พูดเสร็จก็ยื่นถุงขนมห่อใหญ่ส่งให้กับฉัน แต่ดันช้ากว่าชบาที่เอื้อมมือคว้าไปเปิด “โห! น่ากินทั้งนั้นเลย แต่อันนี้ไม่ค่อยดีนะปลัด กินแล้วติดฟันอ่ะ เคี้ยวยาก” “ชบา” พ่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยเรียกชื่อชบาเสียงต่ำ ฟังดูแล้วชวนให้ขนลุกจนต้องรีบแก้สถานการณ์ “ขอบคุณมากนะจ๊ะปลัด แต่รอบหน้าไม่ต้องซื้อมาแล้วก็ได้จ้ะ บัวเกรงใจ ซื้อมาให้ทุกรอบเลย” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณ เพราะอีกฝ่ายใจดีกับฉันมาก แม้เขาจะพยายามเข้าหาแบบจู่โจม และพยายามจะถึงเนื้อถึงตัวฉันอยู่บ่อยครั้ง “คนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ” อีกฝ่ายส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มจนฉันต้องรีบหลบสายตา ไม่ใช่เพราะเคอะเขินหรือไปในเชิงนั้น แต่ฉันแค่วางตัวไม่ถูก มันรู้สึกอึดอัดยังไงชอบกล จะว่านิสัยไม่ดีก็ได้ แต่ฉันอยากให้เขาออกไปจากบ้านเร็ว ๆ จัง “มาครับคุณปลัด กินข้าว” “เชิญตามสบายเลยครับลุงหมาย ถ้างั้นกินข้าวเสร็จผมขอคุยธุระด้วยได้ไหมครับ” “หือ? จังซั่นกะเว่ามาโลด” (หือ? ถ้างั้นก็พูดมาเลย) พ่อเอ่ยบอกในขณะที่ชี้มือไปที่ด้านหลังครัว เพื่อส่งสัญญาณให้ชบาเดินไปเอาน้ำให้กับคุณปลัดหน่อย แต่ทว่าชบาก็เอาแต่นั่งนิ่ง รอฟังว่าปลัดวสันจะคุยอะไรกับพ่อบ้าง ฉันจึงอาสาลุกไปตักน้ำให้ปลัดเอง “คือ... หนี้ที่จ่ายกันมายาวนาน มันคงไม่จบไม่สิ้นกันสักทีน่ะครับ เผลอ ๆ คงลากยาวไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเลย” ก็คงจริงอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ เงินต้นตั้งสองล้าน ไหนจะดอกเบี้ยอีก ทุกวันนี้หาเงินส่งดอกไปวัน ๆ ยังแทบลากเลือดเลย “ผมเลย... อยากเสนอทางล้างหนี้ให้ครับ” ทุกคนต่างนิ่งเงียบ รอฟังว่าปลัดจะพูดอะไรต่อ ฉันเองก็รีบถือแก้วน้ำกลับมาเช่นกัน เพราะกลัวว่าจะพลาดฟังเรื่องสำคัญไป “ลุงหมายกับป้าหวาจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมอยากจะสู่ขอบัว โดยใช้สินสอด เป็นหนี้ทั้งหมดที่กู้ยืมกัน” “...” เพล้ง! แก้วน้ำที่ถือไว้ในมือล่วงลงพื้นจนแตกกระจาย ฉันถึงได้หลุดออกจากภวังค์แล้วก้มลงไปหยิบเศษแก้วอย่างลนลาน ในหัวเอาแต่คิดกังวล เฝ้าหวังว่าพ่อแม่จะปฏิเสธ “คือจะให้แต่งงานล้างหนี้ว่างั้น คนรวยนี่มันกดขี่กันง่าย ๆ แบบนี้นี่เอง!” “อีชบา!” แม่รีบกระชากแขนชบาพร้อมทั้งถลึงตาใส่ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุดพูด เพราะรู้ดีว่าฉันต้องลำบากใจมากแน่ ถ้าต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รัก “ถ้าพ่อยอมนี่ก็ไม่ต่างจากขายลูกกินเลยนะพ่อ เราไม่ได้จนปัญญาขนาดนั้น หนี้ก็จ่ายให้ทุกเดือน ยังจะบีบบังคับกันอีก!” “ใจเย็น พี่แค่เสนอน่ะ” ปลัดหน้าเจื่อนทันที ในขณะที่ชบาเอาแต่โวยวาย กระทั่งถูกแม่ลากออกไปที่หลังบ้าน ปล่อยให้ฉันกับพ่อได้นั่งคุยกับปลัดเพื่อตกลงกันต่อ “อย่าไปหัวซามันเด้อปลัด อีชบามันหวงเอื้อย” (อย่าไปถือสามันเลยนะปลัด นังชบามันแค่หวงพี่น่ะ) พ่อเริ่มปาดเหงื่ออย่างลำบากใจ “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” อีกฝ่ายตอบทั้งรอยยิ้ม แม้สถานการณ์ตอนนี้จะไม่ดีเท่าที่เขาคาดการณ์ แต่ก็ยังคงนิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ “ว่าจังได๋บัว อยากแต่งงานกับคุณปลัดอยู่บ้อ” (ว่ายังไงบัว อยากแต่งงานกับคุณปลัดไหม) “เอ่อ...” ฉันอ้ำอึ้ง ลำบากใจที่จะปฏิเสธ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเสียหน้า เขาอุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกลเพื่อคุยเรื่องนี้ จึงไม่อยากหักหามน้ำใจซึ่ง ๆ หน้า “อย่าเพิ่งให้คำตอบก็ได้ครับ ให้น้องบัวไปคิดก่อนก็ได้ แต่ถ้าลุงหมายปฏิเสธข้อเสนอ ประมาณเดือนมิถุนายน ผมขออนุญาตยึดบ้านและที่ทำกินทั้งหมดตามที่ระบุในสัญญากู้ยืมนะครับ เพราะมันเลยกำหนดจ่ายเงินต้นแล้ว” “ฮะ!” ทั้งพ่อและฉันต่างอุทานออกมาเสียงดัง ไม่คิดว่าเขาจะใช้วิธีบีบรัดกันขนาดนี้ “ผมกลับก่อนนะครับ ยังไงก็ฝากพิจารณาด้วย กลับก่อนนะน้องบัว เดี๋ยวพี่มาใหม่” “จ้ะ...” ฉันยกมือสวัสดีอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอย และยังงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ เขาก็เข้ามาในบ้าน แล้วบีบบังคับให้ฉันแต่งงาน แถมยังขู่ว่าถ้าไม่แต่ง จะยึดบ้านและที่ทำกินทั้งหมด จากที่เคยคิดว่าเขาใจดี ตอนนี้รู้แล้วว่ามันคือภาพลักษณ์ที่ลวงตา “เฮ้ออ...” พ่อถอนหายใจออกมาเสียงเบา ก่อนจะหันมามองฉันอยากหนักอกหนักใจ “เอาจังได๋ล่ะบัว” (เอายังไงดีบัว) “ฉัน... ก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ แล้วพ่อคิดว่ายังไงเหรอ” คำถามถูกส่งออกไปอย่างคาดหวัง ฉันเฝ้าภาวนาในใจลึก ๆ ว่าขอให้เขาอย่าเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้เลย แต่เหมือนคำอธิษฐานของฉันจะเบาไป “ปลัดเพินกะดี ได้กันนำเพินมันกะสิดีอยู่ดอก” (ปลัดแกก็ดี ได้แต่งงานด้วยคงดีอยู่หรอก) ฉันไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ก้มหน้ารับชะตากรรมที่คงไม่อาจจะเลี่ยงได้ เพราะถ้าฉันไม่แต่ง ครอบครัวฉันจะอยู่ยังไง ขนาดมีบ้านอยู่ มีที่ทำกินยังลำบากกันขนาดนี้ ถ้าต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ฉันก็คงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นลูกที่อกตัญญู... หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉันก็ขึ้นมาอยู่ที่ห้องนอนส่วนตัว ส่วนชบา หายออกไปจากบ้านตั้งแต่ทะเลาะกับแม่แล้ว ความเหนื่อยอ่อนผลักฉันลงเตียงนอนสีชมพูอันหนานุ่ม ก่อนจะหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ทำไมนะ สวรรค์ถึงได้กลั่นแกล้งกันแรงขนาดนี้ เปลือกตาบางเปิดขึ้นมาช้า ๆ ก่อนจะหันหน้าขึ้นไปยังตู้เสื้อผ้าที่อยู่ติดผนัง เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ฉันก็เด้งตัวขึ้นมาหยิบกล่องไม้ที่อยู่ด้านบนออกมาเปิดดู ด้านในยังคงมีของชิ้นเดิมวางอยู่ นั่นคือสร้อยสีเงินจี้รูปปืน สร้อยที่ฉันกลับไปตามหาอยู่หนองน้ำนั้นทุกวันจนกระทั่งเจอ และเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีเพื่อที่จะคืนให้กับเจ้าของ “คงไร้วาสนาต่อกันจริง ๆ สินะ พี่ทิศ...”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม