อารัมภบท
ลมเย็น ๆ ในช่วงต้นเดือนมกราคมกำลังลูบไล้ตามใบหญ้าสีเขียวขจีที่อยู่ริมขอบหนองน้ำจนมันโอนเอนเสียดสีกันไปมา ฝูงนกตัวกระจ้อยต่างจับกลุ่มกันบินกลับเข้ารัง บ่งบอกถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าเต็มที
“พี่บัว ฉันอยากได้ดอกบัว”
เด็กผู้หญิงผิวขาวตากลมมัดผมแกละกระโดดหยอง ๆ อยู่กับที่ พลางชี้มือไปยังหนองน้ำที่เต็มไปด้วยบัวสีแดงสะพรั่งทั่วทั้งสระ
“พรุ่งนี้ได้ไหมชบา วันนี้เย็นมากแล้ว กลับบ้านช้าเดี๋ยวแม่ดุ”
คนเป็นพี่ที่อายุห่างกันเพียงสองปีเอ่ยบอก ในขณะที่เตรียมจะเก็บอุปกรณ์รดน้ำผักเข้าที่เดิม
ที่บ้านของบัวและชบามีอาชีพปลูกผักเพื่อนำไปขายที่ตลาด ทุกเย็นสองพี่น้องจึงต้องมารดน้ำและเก็บผักไปขายที่ตลาดในหมู่บ้านใกล้เคียงกัน แม้ค่าแรงที่ได้จะไม่มากมายพอที่จะจุนเจือครอบครัว แต่แม่ของพวกเธอก็ทำอาชีพเย็บผ้าเสริม และพ่อของพวกเธอก็มีหน้าที่เข้าป่าหาสมุนไพรมาขายเพื่อจุนเจือครอบครัวอีกแรง
เดิมทีแค่เลี้ยงดูกันสี่คน พ่อ แม่ ลูก ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงสักเท่าไหร่ แต่ครอบครัวนี้ดันมีหนี้สินท่วมหัว อันเกิดจากการที่ตาของพวกเธอไปกู้ยืมมาจนดอกเบี้ยบานปลาย แม้จะชดใช้มาเกือบสิบปีก็ไม่หมดไม่สิ้นเสียที
“แต่ฉันอยากได้วันนี้นี่ พี่บัวรอก่อนนะ”
เด็กหญิงวัย 13 ปีที่กำลังซุกซนรีบถลกขากางเกงขึ้นเพื่อเตรียมจะก้าวขาลงไปในน้ำที่เย็นเฉียบ แต่กลับถูกผู้เป็นพี่สาวคว้าแขนเอาไว้ก่อน
“ชบา ตรงนี้น้ำมันลึก”
เธอรีบบอกอย่างเป็นกังวล
“ฉันลงได้”
ชบาหันไปบอกพร้อมทั้งพยายามที่จะก้าวขาลงไปอีกครั้ง บัวที่เห็นท่าไม่ดีจึงยอมอาสาที่จะลงไปเก็บดอกบัวให้แทน
“เฮ้ออ เดี๋ยวพี่ลงไปเอาให้”
สุดท้ายเธอก็ต้องจำยอมเปียกน้ำเพื่อลงไปเอาดอกบัวให้กับผู้เป็นน้องสาว กางเกงขายาวถูกถลกขึ้นมาเหนือหัวเข่า ก่อนที่ขาเรียวจะค่อย ๆ ย่างลงไปในน้ำเย็น ๆ ที่นิ่งสงบ
“เอาดอกไหน”
“โน่นน่ะพี่บัว”
คนตัวเล็กยื้อแขนชี้ให้ดู แววตาเต็มไปด้วยประกาย เพราะดีใจที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ
“ห้ามลงมานะ”
บัวหันกลับไปกำชับกับน้องสาวอีกรอบ เพราะจำได้ว่าบริเวณนี้น้ำค่อนข้างลึกพอสมควร ก่อนจะรีบว่ายน้ำเข้าไปในดงดอกบัวที่ละลานตา แล้วดึงดอกบัวติดมือกลับมากำใหญ่ ทว่าจังหวะที่กำลังว่ายน้ำกลับ กล้ามเนื้อที่ขาก็บีบรัดกะทันหันจนเธอไม่สามารถทรงตัวในน้ำได้ เธอเพิ่งเข้าใจที่พ่อพร่ำบอกเป็นประจำ ว่าให้ระวังเป็นตะคริวตอนว่ายน้ำก็วันนี้
“พี่บัว! เป็นอะไร”
ชบาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ พี่สาวก็ทิ้งดอกบัวในมือแล้วตะเกียกตะกายคล้ายจะจมลงอยู่รอมร่อ
“ช่วยด้วยยย!! มีคนจมน้ำ ใครก็ได้ ช่วยด้วยย”
นาทีที่สติแตก ชบากรีดร้องออกมาเสียงหลงสลับกับตะโกนขอความช่วยเหลือ เวลาจวนจะค่ำแบบนี้ จะมีใครได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือกันเล่า
“ฮือออ ช่วยพี่บัวด้วย”
คนตัวเล็กมองพี่สาวจมลงไปช้า ๆ ก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงไปช่วย แต่ในจังหวะที่เธอก้าวขาลงได้เพียงข้างเดียว กลับได้ยินเสียงสวรรค์จากใครบางคนที่วิ่งมาแต่ไกล
“เกิดอะไรขึ้น!”
เจ้าของเสียงสวรรค์คือหนุ่มวัยรุ่นร่างกำยำในวัย 22 ปี ผู้มีหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ในหมู่บ้าน
“พี่ทิศ ฮึก พี่บัวจมน้ำ”
ตู้มม!
สิ้นคำบอกกล่าวพร้อมน้ำตาเอ่อนองหน้า ชายหนุ่มก็ไม่รีรอ รีบกระโจนลงไปในน้ำจนเสียงดังสนั่น ร่างที่กำยำว่ายฝ่าน้ำไปไม่กี่อึดใจก็ถึงจุดที่บัวถูกกลืนหายไปใต้น้ำแล้ว เขาใช้เวลาดำผุดดำว่ายอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็สามารถใช้แขนคล้องคอแล้วลากหญิงสาวร่างผอมบางขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ
“ฮือออ พี่บัว พี่อย่าตายนะ”
เสียงสะอื้นร้องไห้ดังไปทั่วบริเวณ ในขณะที่ทิศกำลังอุ้มบัวขึ้นมานอนราบบนบก จากนั้นก็ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาในการช่วยชีวิต
มือหนาประสานกันแน่นที่หน้าอกของบัว ก่อนจะกดลงซ้ำ ๆ ตามจังหวะ ทว่าบัวก็ยังคงนอนนิ่ง เขาจึงต้องสลับกับผายปอดร่วมด้วย
“พี่บัวว ฮืออ พี่ฟื้นสิ”
ชบาทำได้เพียงร้องไห้อย่างรู้สึกผิด เพราะเธอคนเดียวที่ทำให้พี่สาวต้องจมน้ำตกอยู่ในสภาพนี้ หากบัวไม่ฟื้นขึ้นมาอีก เธอจะใช้ชีวิตต่อไปได้ยังไงกัน
“อ๊อก แคก ๆ”
หลังจากเทียวปั๊มหัวใจเทียวผายปอดอยู่นาน ในที่สุดความพยายามก็สำเร็จผล บัวสำลักน้ำออกมายกใหญ่ ทิศเองก็โล่งใจ รีบทิ้งตัวลงนอนราบไปกับพื้นด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ
“ฮึก! พี่บัวไม่ตายแล้ว”
ชบายิ้มทั้งน้ำตา รีบโผกอดพี่สาวไว้แน่น ในขณะที่อีกฝ่ายยังมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“คราวหลังถ้าไม่มีผู้ใหญ่อย่าลงไปแบบนี้อีกนะ ถ้าพี่มาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องเริ่มตั้งสติได้บ้างแล้ว ทิศถึงได้กล่าวตักเตือนด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมจะเดินจากไป ทว่ากลับต้องหยุดชะงัก เมื่อสังเกตเห็นว่าสร้อยคอที่ตนสวมใส่หายไปจากคอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“หาอะไรเหรอพี่ทิศ”
“สร้อยน่ะ”
เขาเริ่มทำหน้ากังวล สร้อยเส้นนั้นเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่พี่ชายมอบให้ หากทำหายไป เขาคงใจเสียไม่น้อย
“เดี๋ยวฉันหาช่วยจ้ะ”
ทั้งสามเริ่มกวาดสายตามองหาสร้อยสีเงินจี้รูปปืนตามที่ทิศบอกลักษณะ แต่ไม่ว่าจะเดินหายังไงก็หาไม่เจอเสียที คงด้วยความมืดที่เริ่มปกคลุมเข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว
“พรุ่งนี้ค่อยหาได้ไหมจ๊ะ”
บัวถามอย่างรู้สึกผิด ยิ่งเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่าย ยิ่งเข้าใจว่าสร้อยเส้นนั้นสำคัญมาก
“พรุ่งนี้พี่จะไปมหาลัยแล้ว คงนานเลยกว่าจะได้กลับมาอีก”
คนตัวใหญ่พ่นลมออกปากหนัก ๆ อย่างนึกเสียดาย ก่อนจะใช้มือสางผมที่เปียกปอนด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางของเขาในตอนนี้ กำลังถูกจ้องมองด้วยหญิงสาวที่รอดพ้นจากความตายมาหยก ๆ เธอไม่เคยรู้สึกประทับใจใครได้มากเท่านี้มาก่อน หรือนี่... จะเป็นความรู้สึกของการตกหลุมรักใครสักคน
“ช่างมันเถอะ”
หลังจากที่ฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ ทิศก็ตัดสินใจที่จะล้มเลิกความพยายาม ก่อนจะหันมามองที่บัวอีกครั้ง
“กลับไหวไหม ให้พี่ไปส่งหรือเปล่า”
“วะ ไหวจ้ะ”
ร่างเล็กพยักหน้าพลางก้มตาต่ำด้วยความประหม่า ยิ่งอีกฝ่ายพยายามพูดด้วย เธอก็ยิ่งใจสั่นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“งั้นกลับบ้านกันดี ๆ ล่ะ พี่ไปละ”
ทิศหันหลังให้กับสองสาว ก่อนจะถอดเสื้อออกมาจากตัว เพื่อบิดเอาน้ำออก ในขณะที่เดินกลับไปทางเดิม โดยไม่รู้เลยว่าแผ่นหลังที่กำยำ กำลังดึงดูดสาวชาวบ้านให้ลุ่มหลงจนแทบโงหัวไม่ขึ้น
“พี่บัวเดินไหวไหม”
ชบาขยับเข้ามาใกล้พี่สาวพลางโอบกอดไว้แน่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ยังทำให้เธอขวัญเสียไม่หาย
“ไหวสิ แต่เรื่องวันนี้ห้ามบอกพ่อกับแม่เด็ดขาด เข้าใจไหม”
“อื้อ”
ชบาพยักหน้าระรัว เธอไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่อยู่แล้ว เพราะหากทำเช่นนั้น ก็ไม่ต่างไปจากการรนหาเรื่องเจ็บตัวเลย
“ดีนะที่พี่ทิศมาช่วยทัน ไม่งั้นป่านนี้พี่บัวจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ตอนพี่ไม่ตื่นนะ ฉันใจหายมาก พี่ทิศต้องจูบพี่ซ้ำ ๆ พี่ถึง อุ๊บ!”
ริมฝีปากที่กำลังอ้าพูดถูกทาบปิดด้วยฝ่ามือของบัว เมื่อได้ยินประโยคที่ไม่ถูกไม่ควร
“ชะ ชบา เขาเรียกว่าผายปอด”
ยิ่งได้ยินว่าริมฝีปากของตัวเองถูกคนที่มาช่วยเหลือทาบริมฝีปากลงทับอยู่ซ้ำ ๆ ใจของบัวก็ยิ่งเต้นระส่ำยิ่งกว่าเดิม
“ผายปอดนั่นแหละ พี่ทิศโคตรเก่งเลย”
คนตัวเล็กดึงมือพี่สาวออกจากปาก ก่อนจะพูดต่ออย่างนึกชื่นชม บัวไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ยิ้มออกมาบาง ๆ พลางยกมือขึ้นมาแตะสัมผัสที่ริมฝีปากของตัวเองอย่างแผ่วเบา
ขอบคุณนะจ๊ะพี่ทิศ...