เย็นวันนี้ฉันไม่ต้องไปขายผักที่ตลาด เพราะในหมู่บ้านมีงานใหญ่ ขอขมาศาลตายายที่กลางหมู่บ้าน หลังจากกลับมาจากรดน้ำผัก พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว คงไปช่วยงานตั้งแต่ช่วงบ่าย ฉันจึงรีบอาบน้ำและแต่งตัวด้วยผ้าถุงลายนกยูงที่แม่ทอให้ ใส่คู่กับเสื้อสีขาวลายลูกไม้แขนสั้น ประดับด้วยเข็มขัดออกงานที่ขาดไปหลายรอบ แต่ก็ซ่อมกลับมาใช้งานใหม่ไม่ยอมทิ้งเสียที
“ตายจริง เกือบลืม”
ฉันรีบวิ่งกลับขึ้นมาบนบ้านอีกครั้งเพราะลืมเหล้าไหที่อยู่บนชั้นวาง จริง ๆ วันนี้ฉันกับพ่อก็เข้าไปเยี่ยมน้องที่สำนักแต่เช้า แต่เราดันลืมเหล้าไปเสียสนิท พ่อจึงกำชับฉันหนักแน่น ว่ายังไงวันนี้ก็ต้องเอาเหล้าไปให้พ่อหมอให้ได้ แถมยังกำชับด้วยว่าต้องส่งให้ถึงมือพ่อหมอ
เมื่อได้เหล้ามาแล้วฉันก็รีบปั่นจักรยานคู่ใจไปที่สำนักที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร พอไปถึงก็เห็นประตูปิดเอาไว้สนิท สงสัยพวกเขาคงไปที่งานกันแล้ว
ฉันลังเลอยู่เล็กน้อย ว่าควรเอาเหล้าไหนี้วางไว้ที่หน้าบ้านหรือเปล่า แต่เพราะพ่อกำชับว่ายังไงก็ต้องเอาไปส่งให้ถึงมือพ่อหมอ ฉันจึงต้องพกเหล้ามาที่งานด้วย
ปั่นจักรยานมาจนถึงงานก็แทบล้นห้อย เหนื่อยอะไรขนาดนี้เนี่ย ลำพังแค่ปั่นมากลางหมู่บ้านก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ฉันยังต้องตรงปรี่ไปที่สำนักพ่อหมอหิรัญนี่สิ
มาถึงฉันก็รีบเตะขาจักรยานลง แล้วเอื้อมมือไปถือเหล้าไหที่อยู่หน้ารถ แต่เพียงแค่หันกลับมาก็ต้องสะดุ้ง เพราะเห็นชบาวิ่งเข้ามาถึงตัวแล้ว
“พี่บัว มานี่”
“ดะ เดี๋ยวชบา จะพาไปไหน”
“มาก่อน เดี๋ยวบอก”
ฉันยังไม่ทันได้ถามให้รู้ความก็ถูกน้องสาวจอมแก่นฉุดกระชากให้เดินตามจนกระทั่งเข้ามาถึงมุมหนึ่งของงาน ตรงนี้เป็นเต็นท์สำหรับนั่งกินอาหาร บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยโต๊ะนั่งและเก้าอี้ แต่ไม่มีผู้คน เพราะส่วนใหญ่หลั่งไหลไปทำพิธีด้านในแล้ว
จะมีก็แต่... พ่อหมอหิรัญกับพี่ทิศที่กำลังนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ แถมยังมีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะด้วย
ทำไมนะ ยิ่งพยายามหนีหน้า กลับยิ่งต้องเจอกันบ่อยยิ่งขึ้น
“นี่ไงพี่บัว เมื่อกี้พี่ทิศถามหาพี่บัวนี่”
คนตัวเล็กยิ้มร่าจนตาหยี พร้อมกับหันไปพูดกับสารวัตรหนุ่มที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันพลันยกเหล้าขึ้นกระดก
“ชบา มานั่ง”
พ่อหมอหิรัญพยักหน้าเรียกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับมีความดุซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้นของเขา
“พ่อกับแม่ล่ะพี่บัว”
ชบาไม่สนคำบอกกล่าวของพ่อหมอ เธอเดินไปลากเก้าอี้ออกมาให้ฉันนั่ง จากนั้นก็เลื่อนของกินบนโต๊ะมาไว้ต่อหน้าฉัน
“น่าจะอยู่ในพิธีมั้ง แต่พ่อฝากเหล้ามาให้พ่อหมอด้วยนะจ๊ะ นี่จ้ะ”
เหล้าไหที่ถือติดมือมาถูกยื่นส่งให้กับพ่อหมอ เขาก็รีบเอื้อมมือรับในทันที พลันยกเหล้าขึ้นดูอย่างพิจารณา
“ขอบใจมากนะ”
เขาเอ่ยโดยไม่มองมา เพราะกำลังเปิดเหล้าไหและเทใส่แก้วอย่างชำนาญ
“บัวกินไหม”
เทเหล้าเสร็จ เขาก็ยื่นให้กับฉันก่อนเป็นคนแรก
“ไม่กินจ้ะ”
“แต่ฉันกิน”
ชบารีบเสนอหน้าตาลุกวาวเป็นประกาย แต่กลับถูกอีกฝ่ายดีดนิ้วใส่หน้าผากจนดังเป๊าะ
“โอ๊ย! เจ็บนะ”
เธอมุ่ยหน้าลูบหน้าผากป้อย ๆ ด้วยความเจ็บ
“เป็นเด็กเป็นเล็ก หัดกินเหล้า”
“เด็กอะไร! ฉันอายุห่างจากพี่บัวแค่สองปีเอง แล้วฉันบอกพ่อหมอแล้วไงว่าฉันอายุ 23 ปีแล้ว ไม่ใช่เด็ก”
คนช่างพูดเถียงกลับคอเป็นเอ็นจนพี่ทิศหลุดขำออกมา
“ก็จริง น้องมันโตแล้ว ถ้าเทียบกับขึ้นมหาลัยตอนนี้มันก็เรียนจบแล้วนะ”
ว่าแล้วเขาก็หยิบเหล้าขึ้นมาเทส่งให้ฉันกับชบา ในขณะที่พยายามจะหันมาสบตาเป็นระยะ แต่ฉันก็พยายามเบนหน้าหนีตลอด
“แต่ว่า... ฉันปั่นจักรยานมา กลัวเมาแล้ว...”
“กินแค่นี้มันไม่เมาหรอก หรือถ้าเมา เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
สายตากดดันจากทุกคนบนโต๊ะทำให้ฉันไม่อาจต้านทานได้ จำต้องยอมยกเหล้าไหขึ้นมาจ่อที่ปาก แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะได้กลิ่นแปลก ๆ กลิ่นมันเหมือน... ว่านเสียสาวเลยแฮะ
“ยกสิพี่บัว”
ชบารบเร้าจนฉันต้องยอมกระดกเหล้าเข้าปาก เหล้าไหค่อย ๆ ไหลลงคอจนร้อนวูบ ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะวางแก้วขนาดเล็กลงพลางเช็ดเหล้าที่หกเลอะปลายคาง ก่อนจะช้อนสายตาขึ้น และพบว่าตอนนี้พี่ทิศกำลังมองมาที่ฉันและยกยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงเทเหล้าให้ฉันเพิ่ม
พอได้เริ่มกินแก้วแรก แก้วสองและสามก็ตามมาติด ๆ ฉันที่ไม่เคยแตะต้องแอลกอฮอล์มาก่อนในชีวิตเริ่มหน้าแดงก่ำและหลุดขำออกมาให้กับท่าทีตลกของชบา
เสียงหัวเราะของพ่อหมอกับชบาดังขึ้นอย่างครึกครื้น พอเริ่มต้นได้แก้วแรก แก้วที่สองก็ไหลตามมาอย่างง่ายดาย ไม่นานนักฉันก็เริ่มมึน ๆ หัวเราะเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“พี่ทิศ!”
ชบาตะโกนเรียกคนที่อยู่ตรงข้ามเสียงดัง ทั้งที่ห่างกันเพียงแค่โต๊ะกลม ๆ คั่นไว้
“เอาอีกเหรอ?”
พี่ทิศเตรียมจะยกเหล้าขึ้นเทให้อีกรอบ แต่กลับต้องชะงักเพราะชบาปัดมือไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
“เปล่า ๆ จะถามว่ามีแฟนยัง”
“...”
ฉันที่กำลังหัวเราะร่านิ่งชะงักไปทันที ก่อนจะเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายอย่างลืมตัว
“มึงนี่มันขี้เสือกจริง ๆ”
ประโยคต่อว่าซึ่ง ๆ หน้าจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพ่อหมอหิรัญที่นั่งประกบข้างชบา และประคองไม่ให้อีกฝ่ายล้มลงจากเก้าอี้ เพราะตอนนี้เมาหนักร่างกายโอนเอนตาลอยหยาดเยิ้มแล้ว
“เอ้า ถามไม่ได้เหรอ?”
“ถามได้ พี่ยังไม่มีแฟน”
ทั้งที่ชบาเป็นคนตั้งคำถาม แต่เขากลับหันมาบอกฉันที่กำลังจ้องหน้ารอคำตอบอยู่
“แล้วพี่ฝ้ายล่ะจ๊ะ”
ฉันเพียงแค่คิดในใจ แต่คงเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้คำถามนั้นหลุดออกไปจากปากของฉันจริง ๆ
“เพื่อนกัน เรียนมัธยมด้วยกันน่ะ”
“จริงเปล่า อย่างพี่ทิศนี่นะจะไม่มีแฟน”
“ทำไม หน้าพี่เหมือนคนเจ้าชู้เหรอ”
พี่ทิศพูดทีเล่นทีจริง ชบาก็รีบพยักหน้าหงึกหงักทันที ระหว่างนี้ฉันเริ่มนั่งเงียบไม่พูดไม่จา เพราะรู้สึกแปลก ๆ กับร่างกายตัวเอง มันร้อนวูบวาบอย่างผิดวิสัย ฉันไม่เคยกินเหล้า และไม่เคยเมามาก่อน ถึงไม่รู้ว่าอาการนี้มันปกติไหม
“ไหวไหมบัว”
พ่อหมอที่สังเกตเห็นความนิ่งเงียบอย่างผิดปกติ จึงหันมาถามฉันอย่างเป็นห่วง
“มึนหัวนิดหน่อยจ้ะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตัวเซไปด้านหลังจนเกือบล้ม โชคดีที่พี่ทิศมือไวคว้าแขนฉันได้ทันพอดี
“กลับเถอะ ไม่น่าจะไหวหรอก”
พ่อหมอออกความเห็น ชบาก็รีบเสริมด้วยทันที
“ใช่ กลับเถอะพี่บัว”
“งั้นฉันกลับก่อนนะจ๊ะ”
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
พี่ทิศยกเหล้าที่เหลือครึ่งแก้วขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด ก่อนจะเอื้อมมือหยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะ
“มะ ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันกลับได้”
“แค่เดินยังเซ อย่าอวดเก่งไปหน่อยเลย”
เขาไม่พูดพร่ำ รีบเดินนำฉันกลับไปที่รถ ฉันเองก็เพิ่งได้แผลจากการรถล้มมาหยก ๆ ให้ขับเองก็คงจะไม่ไหวหรอก สุดท้ายเลยต้องยอมเดินตามเขาไป
“พี่เอามอเตอร์ไซค์มานะ”
คนร่างสูงพยักพเยิดหน้าไปที่รถคันใหญ่สีดำ ไอ้ที่เขาเรียกว่ารถบิ๊กไบท์อะไรทำนองนั้น
“แล้ว...”
ฉันมองตามรถจักรยานของตัวเองอย่างหนักใจ
“จอดไว้นี่แหละ ไม่หายหรอก พรุ่งนี้พี่จะเอาไปส่งให้”
“แต่ว่า”
“ขึ้นมา”
เขาไม่ฟังที่ฉันพูดสักนิด รีบสตาร์จรถแล้วพยักหน้าเรียก ฉันจึงต้องยอมก้าวขาขึ้นรถอย่างระมัดระวัง
“กอดเอวด้วยสิ เดี๋ยวตกนะ”
เขาไม่เพียงแต่ออกคำสั่ง แต่ยังดึงมือฉันเข้าไปกอดที่เอวจนฉันสะดุ้ง หน้าที่ร้อนผ่าวด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ตอนนี้ยิ่งร้อนผ่าวมากขึ้นกว่าเดิม
รถคันใหญ่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ ในขณะที่ฉันวางหน้าแนบใส่แผ่นหลังแกร่งพลางหลับตาพริ้มด้วยความเวียนหัว กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ของพี่ทิศกำลังทำให้ฉันเคลิ้มอย่างไม่รู้สึกตัว มีความสุขจัง...