หนีใจตัวเอง

1251 คำ
เช้าวันนี้เงียบผิดปกติ คงเป็นเพราะแม่ออกไปรดน้ำผักแต่เช้าตรู่ ส่วนพ่อก็หายออกไปเก็บสมุนไพรแต่เช้าเช่นกัน พอพ่อกลับเข้ามาก็ขึ้นไปอยู่บนบ้านในจุดประจำ เพื่อจัดเก็บสมุนไพรและทำเหล้าไหเอาไว้ขาย หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาล พวกเราก็ไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กันอีก แม่ก็ดูเงียบ ๆ ไป ฉันมั่นใจว่าแม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เพียงแค่ไม่พูดเท่านั้น “บัว บัวเอ้ย” “จ้ะพ่อ” ฉันที่กำลังสับมะละกอเพื่อเตรียมไว้ตำสำหรับมื้อเที่ยงรีบขานรับ “มานี่แน” (มานี่หน่อย) ฉันไม่อิดออด รีบวางมีดและมะละกอลงบนถาดทันที ก่อนที่จะลุกออกจากแคร่ใต้ถุนบ้านเพื่อเดินขึ้นไปหาพ่อที่ชั้นบน “จ้ะพ่อ” “คันได้ไปหาน้องเอาเหล้าไหไปส่งให้หิรัญแน” (ถ้าได้ไปหาน้อง เอาเหล้าไหนี้ไปส่งให้หิรัญหน่อยนะ) “ได้จ้ะ” ฉันรับเหล้าในมือพ่อมาถือเอาไว้ ก่อนจะนำไปวางที่ชั้นวาง เพราะวันนี้คงไม่ได้เข้าไปหาชบา ถ้าจะไปก็คงจะเป็นพรุ่งนี้ “เอาไปถิ่มให้พ่อแนเด้อ พ่อนอนพักก่อนจักคาวก่อน” (เอาไปทิ้งให้พ่อหน่อยนะ พ่อนอนพักสักงีบก่อน) เขาลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก พลางชี้มือไปยังเศษกองสมุนไพรที่เหลือจากการใช้ประโยชน์แล้ว “อย่าลืมกินยาก่อนกินข้าวด้วยนะพ่อ กับข้าวใกล้เสร็จแล้ว” ฉันเอ่ยบอกโดยไม่หันไปมอง พลันก้มลงไปหอบเศษรากไม้และใบว่านเข้าใส่ในตะกร้า เพื่อเตรียมจะเอาลงไปทิ้ง แต่กลับต้องชะงักเพราะสายตาเหลือบไปเห็นใบสมุนไพรที่คุ้นตา ถึงแม้ฉันจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มากนัก แต่ก็คลุกคลีกับสมุนไพรมาตั้งแต่เด็ก จึงรู้ได้ในทันที ว่านี่คือใบของว่านเสียสาว “พ่อเอาว่านเสียสาวมาทำไมกัน?” ฉันขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเอง แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก รีบเก็บของให้เสร็จแล้วลงมาที่ชั้นล่างเพื่อเตรียมจะทำอาหารต่อ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มทำส้มตำ ฉันก็ต้องถอนหายใจออกมาอยางเหนื่อยอ่อน “น้ำตาลหมดเหรอเนี่ย” มือเล็กหยิบกระปุกน้ำตาลขึ้นมาเขย่าดู ก่อนจะตัดสินใจออกไปซื้อที่ร้านค้าที่ห่างออกไปไม่ไกล แต่รถมอเตอร์ไซค์แม่ขับไปที่สวนแล้ว ฉันจึงต้องปั่นจักรยานไปแทน ใช้เวลาเพียงไม่นานฉันก็มาถึงร้านค้า สองขาเรียวรีบจ้ำอ้าวเข้าไปด้านในแล้วเอ่ยพูดกับแม่ค้าอย่างสนิทสนม “น้ำตาลหนึ่งถุงจ้ะ” หญิงวัยสามสิบต้นๆ ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จากนั้นก็เดินไปหยิบถุงน้ำตาลมาใส่ถุงแล้วยื่นให้ “สามสิบห้าบาท” ฉันรีบหยิบกระเป๋าสีชมพูลายดอกไม้ใบเล็กที่สะพายขึ้นมาค้นหาเงิน ก่อนจะนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะมีคนร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ข้างกัน “เอาน้ำแข็งสิบบาทครับ” “เอ้า สารวัตร ไม่ได้เข้าโรงพักเหรอ” ฉันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงโปร่ง เป็นจังหวะที่เขาก็ก้มลงมาพร้อมหันมาสบตาเช่นกัน “เข้าครับ แค่กลับมาเอาผลตรวจสารเสพติดกับผู้ใหญ่บ้าน” เขาเอ่ยตอบแม่ค้า แต่ทั้งสายตาและรอยยิ้มกำลังส่งมาที่ฉัน “นะ นี่จ้ะ” ฉันรีบวางเงินลงบนโต๊ะแล้วหยิบถุงน้ำตาลวิ่งออกมาจากร้าน ก่อนจะขึ้นคร่อมจักรยานคู่ใจแล้วปั่นออกมาตามถนน ในขณะที่พยายามเรียกหาสติของตัวเอง “ท่องเอาไว้บัว แกกำลังจะแต่งงาน เรื่องของแกกับสารวัตรเป็นไปไม่ได้หรอก ตัดใจ ตัดใจ ตัดใจ...” ขาก็ปั่นจักยานไปข้างหน้า ปากก็พร่ำพูดกับตัวเองตลอดทาง แต่ยังปั่นไม่ถึงไหน ก็มีรถกะบะสีขาวคันใหม่วิ่งมาขับเทียบข้าง ก่อนจะเลื่อนกระจกลง “หลบหน้าทำไม?” “พี่ทิศ!” ฉันอุทานเสียงหลง แต่ยังไม่ยอมหยุดปั่นจักรยาน “ว่าไง ทำไมต้องหลบหน้า” เสียงทุ้มของเขาดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ฉันต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ก่อนจะเม้มมันเข้าหากัน พยายามตั้งหน้าตั้งตาปั่นจักรยานต่อไปโดยไม่ตอบอะไร ปิ๊ก ปิ๊ก “เป็นอะไรเนี่ย โกรธพี่เหรอ” เสียงของเขาดูจริงจังขึ้น ฉันเลยเหลือบตามองไปนิดหนึ่ง แต่ก็ต้องรีบหันกลับมาเพราะสายตาคมของเขากำลังจับจ้องมาเหมือนจะคาดคั้นคำตอบ “ปะ เปล่าจ้ะ” ฉันตอบเสียงเบา แต่ยังคงปั่นจักรยานไปข้างหน้า “แน่ใจเหรอ? แล้วทำไมต้องรีบหนีออกจากร้านค้า” เขายังคงตั้งคำถามไม่เลิก ส่วนฉันก็เอาแต่เม้มปาก ไม่รู้จะตอบยังไงดี เพราะเราสองคน... ไม่ควรคุยกันมากเกินไป ฉันไม่ควรหวั่นไหวกับผู้ชายคนอื่น ในขณะที่ตัวเองกำลังจะแต่งงาน ฉันไม่อยากทำให้พ่อไม่สบายใจ “บัวแค่รีบกลับไปทำกับข้าวจ้ะ” “ทำอะไรกินเหรอ ชวนพี่ไปกินด้วยสิ” เขาคลายกังวลลงในทันที แล้วเปลี่ยนเป็นชวนคุยในขณะที่ยังขับรถตามฉันไปเรื่อย ๆ แต่เพราะฉันมัวแต่สนใจกับบทสนทนา จึงไม่ทันเห็นก้อนหินก้อนใหญ่ข้างหน้าที่อยู่บนถนนลูกรัง เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจึงเกิดขึ้น “ว้ายย!” โครม! เสียงร้องของฉันดังขึ้นทันทีเมื่อล้อจักรยานสะดุดกับก้อนหิน ส่งผลให้มันเสียหลักก่อนที่ร่างของฉันจะล้มลงไปกับพื้นด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ “บัว!” พี่ทิศเหยียบเบรกแทบไม่ทัน ก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งเข้ามาหาฉันที่กำลังนั่งอยู่กับพื้น มือถลอกเป็นรอยแดง ส่วนหัวเข่าก็มีรอยถลอกจนเลือดซิบ “เป็นยังไงบ้าง?” เขาจ้องสำรวจทั่วตัวฉันอย่างรู้สึกผิด พร้อมกับเอื้อมมือมายกแขนฉันขึ้นดูรอยถลอก “ไม่เป็นไรจ้ะ ๆ” ฉันกัดฟันมองแผลตัวเองแล้วพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่พอลองยืนขึ้นเท่านั้นแหละ ขาก็เจ็บแปลบจนต้องกัดฟันแน่นขึ้น “พะ พี่ทิศ! จะทำอะไรจ๊ะ” ฉันร้องเสียงหลงทันที เมื่อจู่ ๆ อีกฝ่ายก็ช้อนตัวฉันขึ้นอุ้ม แต่เขาไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น รีบพาฉันไปที่รถก่อนเปิดประตูรถแล้ววางฉันลงบนเบาะอย่างเบามือ “ไปไหนจ๊ะ?” “ทำแผลไง” “ฮะ! ไม่ต้องก็ได้จ้ะ ฉันไม่ได้เจ็บอะไรเลย” ฉันรีบคัดค้าน เตรียมออกไปจากรถแต่กลับถูกคนร่างใหญ่ยืนขวางเอาไว้ พร้อมกับจ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาดุ ๆ “อย่าดื้อ! ถ้าดื้อจะจับโยนเข้ากรงขังเลย” “...” ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ได้คิดจะขู่จริงจัง แต่ฉันก็ยอมนั่งนิ่งตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่าย ระหว่างนี้ก็เอาแต่มองตามร่างกำยำที่เดินกลับไปยกจักรยานของฉันขึ้นท้ายรถกระบะด้วยมือเดียว ตอนอยากเจอ ก็ไม่ได้เจอสักที พอตอนนี้อยากตัดใจ ทำไมถึงได้สร้างสถานการณ์ให้ฉันกับเขาได้เจอกันบ่อยขนาดนี้ นี่สวรรค์จงใจจะแกล้งกันจริง ๆ สินะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม